สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 19 ตอนที่ 569 สามชาติสามภพ ความเจ็บปวดของเทพธิดา
ขณะที่ซูจิ่นซีเกิดความคลางแคลงใจ เทพธิดาก็กอดพิณเฟิ่งหวงเดินไปที่ลานดูดาว และเริ่มต้นดีดพิณ
เสียงพิณนั้นไพเราะเสนาะหู เต็มไปด้วยกลิ่นอายความรักอันลึกซึ้ง
บนหอชมดาว สามารถมองเห็นเทือกเขาเทียนอีได้ทั้งหมด เทือกเขาทั้งห้ายืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางมวลหมู่เมฆที่งดงาม
เสื้อผ้าบนร่างของเทพธิดาปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดผ่านมวลหมู่เมฆ พลิ้วไหวในอากาศอย่างต่อเนื่องราวกับผีเสื้อหลากสีที่กำลังโบยบิน กลมกลืนไปกับเสียงพิณเฟิ่งหวงอันไพเราะ
ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยคาดคิดเลยว่า ขณะนั้น สายตาเย็นชาของจิ่วหรง ผู้ที่ไม่เคยสนใจเทพธิดามาตลอด กลับปรากฏความอ่อนโยนและเสน่หาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและความอ่อนโยน เขาจ้องมองไปที่แผ่นหลังของเทพธิดา แววตาผสมผสานด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างยากจะทานทนได้
ซูจิ่นซีตระหนักได้ทันทีว่า ที่แท้ ความรักที่อยู่ในใจของจิ่วหรงคือเทพธิดา ไม่ใช่แม่นางที่ชื่อฉ่ายเวยผู้นั้น
ทว่าเหตุใดเขาจึงแสดงออกอย่างเย็นชาต่อหน้าเทพธิดา? และทำให้เทพธิดาเข้าใจผิดว่าเขารักฉ่ายเวย?
ความลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้คืออันใดกันแน่?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังสงสัย ไม่รู้เพราะเหตุใด ทันใดนั้น หัวใจของนางก็รู้สึกเจ็บปวด จากนั้น ภาพเบื้องหน้าพลันสั่นไหว แปรเปลี่ยนเป็นภาพที่จิ่วหรงกำลังสอนเทพธิดาดีดพิณ
ภาพนี้คงเป็นภาพที่เกิดขึ้นก่อนหน้า
ทั้งสองนั่งอยู่ที่หอดูดาว จิ่วหรงอยู่ด้านหลัง เทพธิดาอยู่ด้านหน้า โดยมีพิณเฟิ่งหวงวางอยู่ด้านหน้าของนาง
มือเรียวยาวของจิ่วหรงจับมือเทพธิดา เขาเล่นพิณอย่างเชื่องช้า พร้อมกับอธิบายวิธีการดีดพิณ ข้อควรระวัง และอารมณ์ความรู้สึกที่ผู้ดีดพิณควรจะมี เขาสอนเทพธิดาทั้งหมดด้วยความอดทน
เห็นได้ว่าตอนนั้น เทพธิดาองค์นี้ยังเป็นเด็กไร้เดียงสา จิ่วหรงสูงกว่าเทพธิดาอยู่หนึ่งช่วงศีรษะ เมื่อนั่งคุกเข่าลง ใบหูของเทพธิดาจึงอยู่บริเวณคางของจิ่วหรงพอดี ขณะที่จิ่วหรงกำลังอธิบาย ลมหายใจของเขาเป่ารดไรผมระหว่างหน้าผากของเทพธิดาอย่างต่อเนื่อง แก้มของเทพธิดาจึงแดงระเรื่อเล็กน้อย
แม้จิ่วหรงจะอธิบายอย่างอดทน ทว่าเทพธิดากลับประหม่าจนฟังไม่ได้ศัพท์ และมือที่จิ่วหรงจับไว้ก็นุ่มมากจนเขาไม่ต้องออกแรงมากนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากอธิบายเสร็จแล้ว จิ่วหรงจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเทพธิดาและพูดว่า “ซีเอ๋อร์ ที่อาจารย์พูดเมื่อครู่ เจ้าฟังเข้าใจหรือไม่? จำได้มากน้อยเพียงใด? ”
เมื่อสบสายตาจิ่วหรง แก้มของเทพธิดาก็ยิ่งแดงระเรื่อมากขึ้น นางตะกุกตะกักอยู่นาน ทว่าไม่พูดสิ่งใด ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นยืนก้มศีรษะ
“อาจารย์ ดึกมากแล้ว ซีเอ๋อร์ขอตัวกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยรายงานสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้กับอาจารย์อีกครั้ง”
พูดจบ จิ่วหรงยังไม่ทันได้ตอบกลับ เทพธิดาก็รีบวิ่งหายไปทันที
จิ่วหรงมองด้านหลังของเทพธิดาที่วิ่งหนีไป มุมปากเรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มบางเบา รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนราวกับบัวหิมะแรกแย้มแห่งเขาเทียนซาน
แม้รอยยิ้มที่มุมปากจะดูเลือนรางไปบ้าง ทว่าเขากลับยกมือทั้งคู่ของตนขึ้นมาอย่างเชื่องช้า อย่างไรก็ตาม ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดสิ่งใด จึงมองดูมือคู่นั้นอยู่นาน
จากนั้น จิ่วหรงก็ดีดพิณอยู่ที่ลานชมดาวตลอดทั้งคืน
ซูจิ่นซีคิดว่า ในตอนนั้น จิ่วหรงต้องชอบเทพธิดาเป็นแน่! ไม่เช่นนั้น เขาคงไม่เผยรอยยิ้มอ่อนโยนหลังจากที่นางจากไปอย่างเร่งรีบด้วยความเขินอาย
รอยยิ้มนั้นเป็นรอยยิ้มระหว่างคู่รักเท่านั้น
ภาพเปลี่ยนมาเป็นภาพจิ่วหรงนั่งที่โต๊ะหนังสือตามเดิม เขาอ่านตำราวิชาแพทย์ที่ถืออยู่ในมือ
บนหอชมดาว เสียงพิณของเทพธิดายังคงไพเราะและผ่อนสบาย ทว่าเสียงพิณที่ทอดยาวนั้น กลับทำให้คนรู้สึกถึงความเศร้าโศกอย่างมาก
คืนนั้น จิ่วหรงอ่านตำราแพทย์ที่ห้องหนังสือทั้งคืน เทพธิดาก็บรรเลงพิณอยู่ที่หอชมดาวทั้งคืนเช่นกัน ทั้งสองอยู่ท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงัด
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อฮ่องเต้ส่งคณะรับตัวเจ้าสาวมาที่จวนจิ่นอีโหว จิ่วหรงและเทพธิดาก็กลับมาถึงจวนโหวแล้ว เทพธิดาทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับจิ่วหรงเมื่อคืน นางสวมชุดอภิเษกและเข้าไปนั่งในเกี้ยวเจ้าสาวของราชสำนักแทนฉ่ายเวย
แม้ฮ่องเต้จะทรงโปรดฉ่ายเวยยิ่งนัก ทว่าใบหน้าของเทพธิดากับฉ่ายเวยเหมือนกันมาก กระทั่งฮ่องเต้ยังดูไม่ออก
คืนนั้น ฮ่องเต้แต่งตั้งเทพธิดาเป็นพระชายา พระองค์ต้องการเชยชมเทพธิดา ทว่าเทพธิดากลับอ้างว่าร่างกายไม่พร้อม จึงปฏิเสธไป
ต่อมา เมื่อฮ่องเต้เสด็จหลายครั้งเข้า เทพธิดาเกรงว่าจะทำให้ฮ่องเต้เกิดความสงสัย นางจึงวางยาพิษตนเอง ฮ่องเต้จึงไม่อาจบังคับให้คนป่วยปรนนิบัติได้
แม้ฮ่องเต้จะทรงห่วงใยและไม่เคยลืมเลือนเทพธิดา หรือ“ฉ่ายเวย” ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นพระชายา ทว่าในที่สุด ความรู้สึกอันลึกซึ้งก็ไม่อาจทนต่อกาลเวลาที่ผ่านเลยไป การมาเยือนตำหนักของเทพธิดาจึงลดน้อยลง
เทพธิดาไม่เคยลืมว่าจุดประสงค์ที่นางเข้าวังมาแทนฉ่ายเวยก็เพื่อช่วยจิ่นอีโหวตามหาหยกกิเลนคู่ นางจึงสืบหาเบาะแสของหยกกิเลนคู่ในวังอย่างลับๆ
หลังจากนั้น เรื่องที่เทพธิดาจงใจวางยาพิษตนเองเพื่อปฏิเสธฮ่องเต้ได้ถูกเปิดเผย ฮ่องเต้ทรงกริ้วยิ่งนัก คืนนั้นพระองค์เสด็จมาที่ห้องบรรทมของเทพธิดา เพราะต้องการชมเชยและร่วมหลับนอนกับนาง ขณะนั้น ร่างกายของเทพธิดายังมียาพิษที่นางมอบให้ตนเอง เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน นางไม่อาจแก้ไขหรือต้านทานได้
ขณะที่เทพธิดากำลังทำอันใดไม่ถูก ทันใดนั้น รัชทายาทเสวียนเยี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น พระองค์ขัดขืนคำสั่งของเสด็จพ่อ และช่วยเหลือเทพธิดา พานางหลบหนีออกจากวังหลวง
ต่อมา ไม่รู้เพราะเหตุใด จิ่วหรงตัดสินใจพาฉ่ายเวยหลบหนีจากจิ่นอีโหว ทว่าถูกงูพิษตาเขียวพบเข้า เรื่องราวจึงถูกเปิดเผย ขณะที่จิ่นอีโหวกำลังจะจัดการจิ่วหรงกับฉ่ายเวย ฮ่องเต้ทรงพบว่าเทพธิดาเข้าวังหลวงแทนฉ่ายเวย ซึ่งมีความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง จึงสั่งให้องครักษ์ปิดล้อมจวนจิ่นอีโหวไว้ด้วยความกริ้วอย่างมาก
ซูจิ่นซีเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทว่านางไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าจิ่วหรงชอบเทพธิดา ทว่าเหตุใดจึงเย็นชาและผลักไสนางเข้าสู่สถานการณ์อันตราย และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบฉ่ายเวย แต่กลับแสดงความห่วงใยนางต่อหน้าผู้อื่น
เมื่อฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้ทหารมาล้อมจวนจิ่นอีโหวทันใดนั้น จิ่นอีโหวก็ยิงธนูโฮ่วอี้ไปที่จิ่วหรง
ธนูโฮ่วอี้คือธนูวิเศษโบราณ เดิมทีถูกใช้โดยโฮ่วอี้ มันสามารถยิงดวงอาทิตย์ให้ตกลงมาได้ นับประสาอันใดกับจิ่วหรง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ลูกธนูอันแหลมคมถูกยิงออกจากคันธนูและพุ่งมาที่หน้าอกของจิ่วหรง ฉ่ายเวยที่ถูกองครักษ์คุมตัวไว้พยายามดิ้นรนจนหลุด นางวิ่งมาอยู่ด้านหน้าจิ่วหรง และรับลูกธนูนั้นแทนเขา
ธนูโฮ่วอี้แทงทะลุผ่านหน้าอกของฉ่ายเวย
จิ่วหรงผู้สงบนิ่งอยู่เสมอ แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังสงบนิ่ง ทว่าเวลานี้ เส้นผมและเสื้อผ้าของเขากลับยุ่งเหยิง
พวกเขาไม่เคยเห็นนายน้อยของตนมีท่าทางตื่นตระหนกเช่นนี้มาก่อน
จิ่วหรงวิ่งเข้าไปรับร่างของฉ่ายเวยที่ร่วงหล่นลงมา เขาถอดเสื้อสีขาวหิมะ พยายามกดบาดแผลที่เต็มไปด้วยเลือดของนาง ทั้งยังถ่ายเทพลังภายในให้นางเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ โดยไม่สนใจสิ่งใด
มือทั้งคู่ของเขา ใบหน้าของเขา เสื้อผ้าสีขาวราวหิมะที่ไม่เคยเปื้อนฝุ่น บัดนี้เต็มไปด้วยเลือดของฉ่ายเวย
เมื่อเทพธิดามาถึง ฉ่ายเวยก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของจิ่วหรงนั่งอยู่ข้างกายฉ่ายเวย ดวงตาของเขามีเพียงความว่างเปล่าและสิ้นหวัง
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา เทพธิดาไม่เคยเห็นท่าทางสิ้นหวังของจิ่วหรงมาก่อน ดังนั้น ความเจ็บปวดที่อยู่เบื้องหน้าจึงทิ่มแทงหัวใจของนางอย่างลึกซึ้ง
นางยืนมองอยู่ตรงนั้น เฝ้าดูจากระยะไกล นางรักจิ่วหรงจึงรู้สึกผิดและเศร้าโศกแทนเขา ทว่านางไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไร ทำอย่างไรจึงจะสามารถแบ่งเบาความทุกข์ของจิ่วหรงได้ อย่างไรก็ตาม นางกลับลืมไปว่า เวลานี้ หัวใจของนางก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าจิ่วหรงเช่นกัน