สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 20 ตอนที่ 581 ปะทะคารม ประโยชน์สองฝ่ายชัดเจน
ซูจิ่นซีตกตะลึง
น้ำเสียงของมู่หรงฉีฟังดูตกใจแกมดีใจเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ทรงรู้จักจิ่นซีแล้วหรือ? ”
แท้จริงแล้ว เขารู้สถานะของซูจิ่นซีมานาน เพียงไม่กล้ายอมรับกับซูจิ่นซีอย่างตรงไปตรงมา
ใช่ว่าเขาไม่ยอมรับ ทว่าเรื่องนี้ เขาไม่รู้ว่าควรพูดกับซูจิ่นซีอย่างไร
มู่หรงอวิ๋นไห่มีท่าทีเคร่งขรึม เขาไม่ได้ตอบคำถามของมู่หรงฉี ทำเพียงมองซูจิ่นซีที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า
เมื่อเห็นดังนั้น มู่หรงฉีจึงเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว และเรียกซูจิ่นซีว่า “พระขนิษฐา! ”
ฮูหยินเฒ่าหานหันมาทำความเคารพซูจิ่นซี “หม่อมฉันคำนับองค์หญิง! ”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจว่ามู่หรงอวิ๋นไห่มีเจตนาอันใดกันแน่
ตอนอยู่ในถ้ำของดินแดนต้องห้ามสกุลซู เมื่อเขาทราบฐานะของนางแล้วยังทำใบหน้าเมินเฉย ท่าทางราวกับรังเกียจนางยิ่งนัก เช่นนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้หมายความว่าอย่างไร? เขายอมรับตัวตนของนางแล้วหรือ?
น่าเสียดาย… นางไม่ต้องการแล้ว
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และเดินไปประคองฮูหยินเฒ่าหานขึ้นมา
“ท่านยาย ข้าไม่ใช่องค์หญิงอันใด ข้าคือซูจิ่นซี ซูจิ่นซีผู้เป็นบุตรสาวของอนุภรรยาแห่งสกุลซูแคว้นจงหนิง! ”
ใบหน้าของฮูหยินเฒ่าหานดูไม่สู้ดีนัก นางมองมู่หรงอวิ๋นไห่ ก่อนจะจับมือของซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “นางหนู ฝ่าบาททรงเป็นพระบิดาแท้ๆ ของเจ้า เจ้าเป็นพระธิดาของฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลี เมื่อครู่ ฝ่าบาทยอมรับฐานะของเจ้าแล้ว ตามเหตุผล เจ้าควรชื่อ มู่หรงจิ่นซี! ”
ซูจิ่นซีไม่อยากพัวพันกับปัญหานี้ จึงไม่ตอบรับคำของฮูหยินเฒ่าหาน
นางประคองฮูหยินเฒ่าหานมานั่งที่เก้าอี้ ส่วนตนเองก็นั่งลงข้างกายฮูหยินเฒ่าหาน การแสดงออกของนางต่อมู่หรงอวิ๋นไห่ยังคงเรียบเฉย “ฝ่าบาท พวกเรามาพูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ของแคว้นหนานหลีเถิด! ในเมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว ใครบางคนย่อมไม่อาจนอนฝันหวานได้อีก ดังนั้นต้องกำจัดมหาอุปราชและสำนักโอสถสกุลจง นอกจากนั้น หม่อมฉันต้องการให้สำนักแพทย์สกุลจงกลับคืนสู่สถานะสำคัญดังเดิม นี่นับเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ตรงพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าพวกเราสามารถร่วมมือกันได้”
การวิเคราะห์ของซูจิ่นซีนั้นตรงไปตรงมาและกล้าหาญ นางเสนอผลประโยชน์ต่อมู่หรงอวิ๋นไห่โดยตรง แสดงถึงความตั้งใจและจุดยืนของตนเอง นอกจากผลประโยชน์ร่วมกันแล้ว นางไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับมู่หรงอวิ๋นไห่มากเกินไป
บาดแผลบางอย่างดูเหมือนพัดผ่านผิวหนังไปแผ่วเบา แม้บาดแผลจะเหลือเพียงรอยตื้น หลังจากทายาก็หายอย่างรวดเร็ว ทว่าความเจ็บปวดที่แท้จริงกลับอยู่หลังจากนั้น ซึ่งความเจ็บปวดไม่อาจมองจากบาดแผลได้
ตอนอยู่ในถ้ำ เมื่อมู่หรงอวิ๋นไห่รู้สถานะของซูจิ่นซีและแสดงท่าทีเย็นชาออกมานั้น มันได้สร้างบาดแผลระหว่างพวกเขาขึ้นแล้ว
ความเจ็บปวดของซูจิ่นซี ใช่ว่ามู่หรงอวิ๋นไห่ต้องการแก้ไขอย่างไรก็ย่อมได้
มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่คาดคิดว่า ซูจิ่นซีจะมีความคิดที่ชัดเจนมั่นคงเช่นนี้ เมื่อเห็นการแสดงออกของซูจิ่นซี กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อาจรับรู้ความรู้สึกนั้นได้
มู่หรงฉีตกใจและประหลาดใจเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่น “น้องหญิง เจ้าคงเข้าใจบางอย่างผิดไปใช่หรือไม่? เจ้าโกรธเสด็จพี่ที่ไม่ยอมรับเจ้าตั้งแต่แรกหรือ? แท้จริงแล้ว เสด็จพี่อยากรู้จักเจ้ามาตลอด ทว่า… ”
ซูจิ่นซีไม่รอให้มู่หรงฉีพูดจบ นางพูดว่า “ฉีอ๋อง พระองค์และหม่อมฉันมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาตลอด หม่อมฉันยอมรับพระองค์เป็นสหาย ทว่าตอนนี้ พวกเรากำลังคุยเรื่องบ้านเมือง และเรื่องสำคัญของคนสกุลจง หากพระองค์รู้สึกว่าฐานะบุตรสาวภรรยารองแห่งสกุลซูของหม่อมฉันต่ำต้อย ไม่คู่ควรที่จะนั่งพูดคุยเรื่องเหล่านี้กับพระองค์ที่มีฐานะเป็นท่านอ๋อง เช่นนั้น พระองค์สามารถเรียกหม่อมฉันว่าพระชายาโยวอ๋องได้”
มู่หรงฉีที่ขมวดคิ้วอยู่แล้วยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก
แม้ซูจิ่นซีจะแย้มยิ้มมุมปาก ทว่าแววตากลับเย็นชา บรรยากาศโดยรอบเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตน
“พอได้แล้ว ฉีอ๋อง พวกเรามาคุยเรื่องสำคัญกันเถิด! ตอนนี้ แคว้นหนานหลีไม่มีการถ่วงดุลอำนาจของมังกรสามเศียรอีกแล้ว มหาอุปราชและจงเนี่ยพ่อลูกร่วมมือกันมีอำนาจยิ่งใหญ่ หม่อมฉันได้ข่าวมาว่าตอนนี้ในราชสำนัก ฉีอ๋องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด”
ซูจิ่นซีนำบทสนทนาเข้าสู่สถานการณ์การเมือง มู่หรงฉีจึงไม่พูดอันใดอีก เขากล่าวว่า “มีข้อจำกัดอยู่ทุกหนแห่ง ก่อนหน้าที่จิ่นซี เจ้าหุบเขาอู๋ และหมอหลวงอวิ๋นจะไปสืบข่าวที่สำนักโอสถสกุลจง สถานการณ์ไม่ได้คับขันเท่าตอนนี้ ทว่าระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน มหาอุปราชและจงเนี่ยพ่อลูกได้สั่งย้ายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักของข้าถึงสามคน ทั้งยังประหารแม่ทัพอีกสองนาย ขุนนางทั้งหกกรมที่มีความเกี่ยวข้องกับข้าถูกโยกย้าย สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ไม่สู้ดีนัก”
นี่เป็นการจงใจกำจัดมู่หรงฉีทางอ้อม และลดทอนอำนาจของมู่หรงฉีให้อ่อนแอลง เพียงมหาอุปราชมู่หรงเฟิงร่วมมือกับจงเนี่ยพ่อลูก ก็มีอำนาจแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นอกจากนั้น ในแคว้นหนานหลี นิสัยวางอำนาจของมู่หรงเฟิงทำให้ผู้คนต่างเกรงกลัว ดังนั้นการกระทำของมู่หรงเฟิง ต่อให้พวกเขาจะโกรธหรือไม่เห็นด้วย ก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้ายืนอยู่ฝ่ายเดียวกับมู่หรงฉี
ซูจิ่นซียกถ้วยชาที่วางบนโต๊ะขึ้นมา นางปัดใบชาที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนจะจิบน้ำชาเล็กน้อยและพูดต่อ
“สำหรับสำนักแพทย์สกุลจงของข้า เป้าหมายสุดท้ายคือกำจัดสำนักโอสถ และกำจัดจงเนี่ยพ่อลูก อีกไม่กี่วัน สกุลจงของข้าจะมีการจัดการแข่งขันซิ่งหลิน ซึ่งเป็นการแข่งขันที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปี การแข่งขันนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ ข้าวางแผนจะลงมือในวันแข่งขันซิ่งหลิน ข้าต้องการคิดบัญชีกับสำนักโอสถ ขณะเดียวกันก็ต้องการฟื้นฟูชื่อเสียงของสำนักแพทย์ของข้า ทว่าก่อนหน้านั้น จำเป็นต้องยุติการพึ่งพากันระหว่างราชสำนักและสำนักโอสถสกุลจง เพื่อตัดทอนอำนาจของสกุลจง จุดนี้ ฉีอ๋องทรงมีความเห็นว่าอย่างไร? ”
สำหรับซูจิ่นซี ในเวลานี้ การฟื้นฟูศักดิ์ศรีและชื่อเสียงของสำนักแพทย์ไม่ใช่เรื่องยาก ทว่าสิ่งที่ยากคือการถอนรากถอนโคนสำนักโอสถให้หมดสิ้น สาเหตุที่สำนักโอสถมีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นหนานหลี ทั้งในด้านการแพทย์ยังสามารถหยั่งรากลึกในแคว้นหนานหลีได้ เพราะพวกเขามีอำนาจอยู่ในมือ จงเนี่ยสองพ่อลูกมีอำนาจทหารสี่แสนนาย และมีราชสำนักเป็นที่พึ่งพาอยู่เบื้องหลัง
หากคิดจะกำจัดสามสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฐานะพระชายาโยวอ๋องของซูจิ่นซี หลานสาวของสำนักแพทย์สกุลจง หรือฐานะองค์หญิงแห่งแคว้นหนานหลีที่นางยังไม่ยอมรับ ก็ล้วนไม่อาจทำได้สำเร็จ นี่เป็นเรื่องของราชสำนัก เป็นเรื่องของบุรุษ ดังนั้นต้องโยนเรื่องนี้ให้มู่หรงฉีและมู่หรงอวิ๋นไห่แก้ปัญหา
มู่หรงฉีขมวดคิ้วแน่น ไม่พูดอันใดอยู่ครู่หนึ่ง
เขาคิดเกี่ยวกับปัญหาของเรื่องนี้มาโดยตลอด เสียดายที่จนถึงบัดนี้ เขายังคิดหาหนทางไม่ได้
ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่หรงอวิ๋นไห่ยังคงจับจ้องไปที่ร่างของซูจิ่นซี ฟังนางวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันอย่างชัดเจน การปรับสมดุลอำนาจ ความรับผิดชอบต่อสกุลจงและราชสำนักของนาง จากนั้นก็โยนหน้าที่กำจัดจงเนี่ยพ่อลูกมาไว้เบื้องหน้ามู่หรงฉี
หลักเหตุผลและสติปัญญาเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สตรีทั่วไปจะมีได้ กระทั่งบุรุษในราชสำนักยังไม่อาจทำได้เหมือนนาง
ทว่าสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าคือ ความสงบนิ่งภายในแววตาขณะกำลังวิเคราะห์ถึงสิ่งเหล่านี้ และรัศมีอำนาจที่เปล่งประกายไปทั่วร่างของนาง
ท่าทางที่แสดงถึงอำนาจเช่นนี้ อย่าว่าแต่ในห้องโถงใหญ่ของสกุลจง ต่อให้เป็นการปะทะคารมระหว่างขุนนางในท้องพระโรง ก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงได้
มู่หรงอวิ๋นไห่มองซูจิ่นซีด้วยแววตาลึกซึ้งยิ่งขึ้น