สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 20 ตอนที่ 591 แม่มดเฒ่ากับแม่มดน้อย
หลังจากที่ซูจิ่นซีทำลายจดหมายไปแล้วเก้าสิบเก้าฉบับ ทันใดนั้น นางก็วางพู่กันลงและไม่คิดจะเขียนจดหมายอีก
ตอนที่นางกำลังจะเดินออกไปบอก JX3 อย่างไรก็ตาม เมื่อเหลือบไปเห็นแผงกันลมภายในห้อง นางก็นึกขึ้นมาได้ว่า ตอนที่เยี่ยโยวเหยาปรากฏตัวในคืนนั้น ภายในดวงตาดำขลับของเขา นอกจากจะมีความรักลึกซึ้งแล้ว ยังปรากฏร่องรอยความอ่อนล้าจากการเดินทาง
เมืองเย่หลินอยู่ห่างจากชายแดนแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋นกว่าพันลี้ อีกทั้งศึกสงครามระหว่างแคว้นจงหนิงกับแคว้นซีอวิ๋นก็กระชั้นเข้ามาทุกที ในเวลานี้ เขาไม่มีทางมีเวลาว่างมากพอจะมาหานางที่เมืองเย่หลินเป็นแน่
ทว่าเขากลับเดินทางมาหานาง
เวลาเร่งด่วนเช่นนี้ ระหว่างเดินทาง เขาต้องไม่ได้พักผ่อนแน่นอน
ความจริงใจของเขา นางจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ ซูจิ่นซีจึงเดินกลับไปที่โต๊ะหนังสืออีกครั้ง นางหยิบกระดาษใหม่ขึ้นมาหนึ่งแผ่น หยิบพู่กัน และบรรจงเขียนตัวอักษรลงไปในจดหมาย “ไม่ทำให้ผิดหวัง คิดถึงยิ่ง”
ตัวอักษรเพียงไม่กี่คำ กลับพรรณนาความรู้สึกภายในใจได้มากมาย หลังจากเขียนเสร็จ ซูจิ่นซีก็หยิบกระดาษขึ้นมาเป่าให้น้ำหมึกแห้ง ก่อนจะพับใส่ซองจดหมาย และเดินออกไปมอบให้ JX3 ให้เขาส่งคนไปมอบให้เยี่ยโยวเหยา
ช่วงเย็น ฮูหยินเฒ่าหานไปสำนักโอสถสกุลจงกับมู่หรงฉี เพื่อคุยเรื่องงานอภิเษก จงซูอี้กับมู่หรงเฟิงต่างเห็นด้วยกับข่าวดีในครั้งนี้
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากออกไปสืบข่าวที่ดินแดนต้องห้ามสกุลจง JX1กับJX2 ก็ทยอยกันเข้ามารายงานความคืบหน้า รวมถึงข่าวในสำนักโอสถสกุลจง
ตามรายงานที่ได้รับมา จดหมายเชิญเกี่ยวกับการแข่งขันซิ่งหลินของสกุลจงได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว และเนื่องจากงานอภิเษกระหว่างฉีอ๋องกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ถูกจัดขึ้นในเวลาเดียวกันกับการแข่งขันซิ่งหลิน ดังนั้นจดหมายเชิญในครั้งนี้จึงส่งไปให้เชื้อพระวงศ์แคว้นต่างๆ ซึ่งตามหมายกำหนดการ แคว้นต่างๆ ในอาณาจักรเทียนเหอจะส่งคนมาร่วมงานกันอย่างพร้อมเพรียง อาทิ แคว้นจงหนิง แคว้นซีอวิ๋น แคว้นเป่ยอี้ แคว้นตงเฉิน และแคว้นไหวเจียง
ถึงเวลานั้น งานจะต้องยิ่งใหญ่อย่างมาก
หลังจากจงรุ่ยอันได้ฟังข่าวก็เกิดความกังวลเล็กน้อย “เหตุการณ์ดูใหญ่โตเกินไปหรือไม่? ”
ซูจิ่นซียังคงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด ฮูหยินเฒ่าหานพูดขึ้นว่า “จะกลัวอันใด ต้องสร้างสถานการณ์ให้ใหญ่โต ยิ่งใหญ่โตยิ่งดี คนมาร่วมงานยิ่งมาก ยิ่งมีผลกระทบมาก เรื่องของพวกเราจะได้กระทำได้ง่ายขึ้น! ”
ซูจิ่นซีจิบน้ำชา พลางมองฮูหยินเฒ่าหานด้วยสายตาชื่นชมแกมประหลาดใจ
สมแล้วที่เป็นฮูหยินเฒ่าผู้ควบคุมสกุลใหญ่โตมานานหลายปี แม้จะอยู่ในยุคที่ตกต่ำของสำนักแพทย์สกุลจงก็ตาม คนชราแต่จิตใจไม่ชรา ปณิธานก็ไม่ชรา สอดคล้องกับความคิดของนาง
เมื่อกำหนดเวลางานพระราชพิธีอภิเษกของมู่หรงฉีกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ และกำหนดการแข่งขันซิ่งหลินเรียบร้อยแล้ว ข่าวดีก็แพร่สะพัดไม่ขาดสาย
พวกเขาไม่เพียงได้รับจดหมายตอบรับคำเชิญจากเชื้อพระวงศ์และชนชั้นสูงจากแคว้นต่างๆ เท่านั้น ทว่ายังได้รับจดหมายตอบรับจากชาวยุทธจำนวนไม่น้อย รวมถึงแคว้นที่ไม่ได้รับเทียบเชิญ ทว่าตัดสินใจที่จะมาเข้าร่วมงานที่กำลังจะเกิดขึ้นที่แคว้นหนานหลีด้วยตนเอง ผ่านทางเทียบเชิญของสำนักที่มีชื่อเสียง
งานนี้ยิ่งใหญ่กว่าที่ซูจิ่นซีกับพรรคพวกจะจินตนาการ
อีกด้านหนึ่ง หลังจากอวิ๋นจิ่นแยกทางกับซูจิ่นซีในดินแดนต้องห้ามสกุลจง พวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
ซูจิ่นซีถามไถ่เรื่องนี้กับฮูหยินเฒ่าหานหลายครั้ง คำตอบคือไม่มีข่าวคราวของอวิ๋นจิ่นแม้แต่น้อย นอกจากนั้น JX1และJX4 ได้แอบเข้าไปในดินแดนต้องห้ามสกุลจงหลายครั้ง ทว่าไม่มีข่าวคราวของอวิ๋นจิ่นเช่นกัน
วันนี้ หลังจาก JX4กับJX1กลับมาก็เป็นเช่นเดิม พวกเขาไม่พบข่าวคราวหรือเบาะแสอันใดเกี่ยวกับอวิ๋นจิ่น
“อวิ๋นจิ่นหายตัวไปที่ใดกัน? คงไม่ได้ถูกคนแคว้นไหวเจียงที่ซ่อนตัวอยู่ในดินแดนต้องห้ามสกุลจงจับตัวไปกระมัง? ”
หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องคงยุ่งยากมากทีเดียว
“พระชายา กระหม่อมขออนุญาตนำขุนพลผีจำนวนหนึ่งไปค้นหาทั่วดินแดนต้องห้ามสกุลจง กระหม่อมไม่เชื่อว่าจะตามหาหมอหลวงอวิ๋นไม่พบ”
ก่อนหน้านี้ เยี่ยโยวเหยาได้มอบขุนพลผีส่วนหนึ่งไว้ให้นางใช้งานที่คฤหาสน์นอกเมืองเย่หลิน
นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นขุนพลผี หรือองครักษ์JX และพรรคพวก ทุกคนล้วนมีความเชื่อมั่นในตนเอง พวกเขาเชื่อว่า ขอเพียงเป็นเรื่องที่พวกเขาต้องการทำ ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง พลางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาแหวกหญ้าให้งูตื่น”
JX4 กับ JX1 ไปเยือนดินแดนต้องห้ามสกุลจงหลายครั้ง ซูจิ่นซีรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย นางกลัวว่าคนในสำนักโอสถสกุลจงจะล่วงรู้เข้า การส่งเหล่านักรบขุนพลผีเข้าไปในดินแดนต้องห้ามสกุลจง ดูจะเป็นเป้าหมายใหญ่เกินไป หากคนในสำนักโอสถสกุลจงพบเข้า พวกเขาจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และหากเกิดความผิดพลาดขึ้นมา อาจทำให้แผนการใหญ่ทั้งหมดล้มเหลว
ฮูหยินเฒ่าหานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และพูดตักเตือนไปว่า “หลานจิ่นซี เจ้าอย่าได้กังวลใจมากเกินไป อวิ๋นจิ่นดวงแข็งตั้งแต่เล็ก ครั้งนี้ต้องพ้นเคราะห์ไปได้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น แววตาของซูจิ่นซีก็ทอประกายแปลกประหลาด
นางพยักหน้าและพูดขึ้นว่า “ท่านย่า ท่านเล่าเรื่องอวิ๋นจิ่นให้หลานฟังสักหน่อยเถิด! ”
“เล่าเรื่องของอวิ๋นจิ่นหรือ? ”
“เจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่ว่า ท่านย่ากับท่านปู่รับเขาเข้ามาได้อย่างไร สั่งสอนเขาอย่างไร จนกระทั่ง เขาจากพวกท่านไปยัวแคว้นจงหนิงได้อย่างไร เล่าให้หลานฟังทั้งหมด หลานอยากฟัง”
ฮูหยินเฒ่าหานมีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อย ในดวงตาทอประกายระยิบระยับทำให้คนยากสัมผัสได้ ทันใดนั้น นางก็ยกมือก่ายหน้าผาก “นางหนู เรื่องของอวิ๋นจิ่นมีอันใดน่าฟังกัน? ล้วนเป็นเรื่องในอดีตทั้งนั้น ย่าชราภาพมากแล้ว บางเรื่องก็ลืมไปจนหมดสิ้น”
ซูจิ่นซียังคงสงบนิ่ง นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ใครบอกว่าท่านย่าชราภาพ ในสายตาหลาน ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด รอให้พวกเราฟื้นฟูชื่อเสียงสำนักแพทย์สกุลจงกลับมาอีกครั้ง ท่านย่ายังต้องเป็นผู้นำลูกหลาน และทำให้สำนักแพทย์สกุลจงกลับมาเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียง! หลานคิดว่าท่านย่ายังแข็งแรง อยู่ถึงร้อยปีแน่นอน”
คำพูดของซูจิ่นซีในครานี้ หยอกเย้าให้ฮูหยินเฒ่าหานแย้มยิ้มได้สำเร็จ
ฮูหยินเฒ่าหานหัวเราะคำโต จนบริเวณหางตามีรอยตีนกาเด่นชัดขึ้นมา นางชี้นิ้วไปทางซูจิ่นซีและพูดไม่เป็นประโยค “นางหนู เจ้าไม่ได้สืบทอดความสง่างามและความจริงจังจากมารดาเจ้า ทว่าฝีปากของเจ้าร้ายกาจทีเดียว หากย่าอยู่จนถึงอายุร้อยปี คงกลายเป็นแม่มดเฒ่าไปแล้วกระมัง”
ซูจิ่นซีเดินไปข้างกายฮูหยินเฒ่าหาน นางคุกเข่าลงและกุมมือฮูหยินเฒ่าหาน “เช่นนั้น หลานก็จะเป็นแม่มดไปพร้อมท่านย่า คนหนึ่งเป็นแม่มดเฒ่า อีกคนเป็นแม่มดน้อย”
ฮูหยินเฒ่าหานหัวเราะอย่างสุขใจ
ซูจิ่นซีรอจนฮูหยินเฒ่าหานหัวเราะเสร็จ จึงกุมมือฮูหยินเฒ่าหานและพูดว่า “ท่านย่า เมื่อตอนอวิ๋นจิ่นยังเด็ก เขามีลักษณะอย่างไร? ”
รอยยิ้มของฮูหยินเฒ่าหานหยุดชะงักเล็กน้อย ทว่าเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้น แม้นางจะแย้มยิ้ม ทว่ารอยยิ้มไม่ได้ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาทั้งสองของนางไม่ปรากฏความชราภาพ ทว่าทอประกายระยิบระยับ และจงใจหลบสายตาของซูจิ่นซี
“หลานอภิเษกกับโยวอ๋องแล้ว ทว่าในใจกลับครุ่นคิดถึงบุรุษอื่น ไม่กลัวโยวอ๋องจะไม่พอพระทัยหรือ? ”
ท่าทางทั้งหมดของฮูหยินเฒ่าหาน แม้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ทว่าไม่อาจเล็ดรอดสายตาของซูจิ่นซีไปได้ ซูจิ่นซีเห็นเต็มสองตาและเก็บซ่อนไว้ภายในใจ ไม่เปิดเผยออกมา
“ท่านย่าใช้ชีวิตอยู่ในจวนหลังนี้มาทั้งชีวิต ตอนนั้น ท่านปู่คงมีอนุจำนวนมาก ท่านย่าย่อมเข้าใจดีมากกว่าหลานว่า ควรทำอย่างไรถึงจะครอบครองหัวใจของท่านปู่ได้! บุรุษนั้น ต้องทำให้พวกเขาหึงหวงเสียบ้าง บางครั้งก็ทำให้เขาขุ่นเคืองเล็กน้อย หากเขาขุ่นเคืองหรือแสดงความหึงหวง ย่อมหมายความว่าในใจของเขามีท่าน”
ซูจิ่นซีอธิบายออกไปอย่างมีเหตุมีผล ฮูหยินเฒ่าหานใช้นิ้วมือตวัดปลายจมูกของซูจิ่นซี “หลานคนนี้ ไม่รู้จักเขินอายเสียบ้าง”
ซูจิ่นซีหดคอลงตามแรงนิ้วมือของฮูหยินเฒ่าหาน นางขยิบตาและพูดว่า “ต่อให้ไม่รู้จักเขินอายมากไปกว่านี้ อย่างไรก็เป็นหลานของท่านย่า! ท่านย่าช่างลำเอียง ปกปิดเรื่องของอาจารย์ลุงอวิ๋นจิ่นไม่ยอมเล่าให้หลานฟัง แม้พวกเราจะบ่มเพาะคนออกไปแสดงความสามารถจนมีชื่อเสียงโด่งดังในแคว้นต่างๆ ทว่าในรอบร้อยปีจึงจะมีผู้ที่มีความสามารถหาผู้ใดเปรียบเช่นอาจารย์ลุงอวิ๋นจิ่น ท่านย่าก็ตอบสนองความอยากรู้ยากเห็นของหลานสักครั้งเถิด! ”
เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงอวิ๋นจิ่น นางจึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย
ไม่ว่าซูจิ่นซีจะพยายามอ้อนวอนเพียงไร ฮูหยินเฒ่าหานก็ไม่มีท่าทีว่าจะพูดแม้แต่น้อย
สุดท้าย ฮูหยินเฒ่าหานจึงยกมือกุมหน้าผากด้วยสีหน้าโศกเศร้า “พูดถึงเรื่องของอวิ๋นจิ่น เด็กคนนี้ คงหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยถึงท่านปู่ของเจ้าไม่ได้ คนก็ตายจากไปแล้ว พอเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ ก็ทำให้รู้สึกเศร้าใจ ย่าชราภาพมากแล้ว พูดไม่ได้จริงๆ หากเจ้าต้องการรู้เรื่องนี้ให้ได้ รออวิ๋นจิ่นกลับมา หลานก็ถามเขาเองเถิด! ”
หากอวิ๋นจิ่นบอกนางทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมา นางคงไม่มีความจำเป็นต้องรบเร้าให้ฮูหยินเฒ่าหานพูดแล้ว