สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 20 ตอนที่ 597 รัชทายาทสตรี
“ตกลง! ”
“เจ้ามีความสามารถอันใด? ”
คนผู้นั้นยังคงโบกพัดในมือด้วยท่าทางสง่างาม
“ไหวชิ่งกงจู่ชำนาญด้านวิชาพิษที่สุด เช่นนั้น ข้าประลองวิชาพิษกับองค์หญิงเป็นอย่างไร? ”
ไหวชิ่งกงจู่เผยรอยยิ้มเหยียดหยามที่มุมปาก “ข้าเป็นถึงบรรพบุรุษด้านการเล่นพิษ เจ้าแน่ใจหรือว่าต้องการแข่งวิชาพิษกับข้า ถึงเวลานั้นอย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าก็แล้วกัน”
ไหวชิ่งกงจู่ไม่มีทางรู้ได้เลย นางอ้างว่าตนเองเป็นบรรพบุรุษด้านพิษ ทว่าในตอนนี้ บรรพบุรุษด้านพิษตัวจริงกำลังยืนดูอยู่เหนือศีรษะของพวกเขาอย่างเงียบงัน
คนผู้นั้นมีท่าทางสงบนิ่ง นางพูดออกมาแผ่วเบาเพียงสี่คำเท่านั้น “กล้าท้าก็กล้ารับ”
“ตกลง! ” ไหวชิ่งกงจู่ตอบรับด้วยน้ำเสียงสาแก่ใจ
“ราชครู ถอนพิษให้เขา! ”
……
เมื่อไม่ได้ยินกูสือซานตอบรับคำพักใหญ่ ไหวชิ่งกงจู่จึงแสดงความขุ่นเคือง “ราชครู แขนข้าได้รับบาดเจ็บ หรือท่านจะให้ข้าถอนพิษให้เขา? ”
กูสือซานดึงสติกลับมา เขารีบหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้ออย่างลุกลี้ลุกลน และถอนพิษให้เถ้าแก่โรงน้ำชา
เมื่อครู่ ตอนที่สตรีผู้นั้นปรากฏตัว ผู้คนโดยรอบต่างประหลาดใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า รวมถึงกูสือซานด้วย
กูสือซานยังคงตื่นตระหนก แม้ไหวชิ่งกงจู่จะได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ และไม่ได้ยินว่าพวกนางกำลังพูดอันใดกัน หลังจากที่สตรีนางนั้นหันหลังกลับมา สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ขอบตาและหางคิ้วของนาง
หลังจากถอนพิษให้เถ้าแก่โรงน้ำชาเรียบร้อยแล้ว เขาถึงรู้ว่าไหวชิ่งกงจู่ได้รับบาดเจ็บ จึงพันแผลให้นาง
ไหวชิ่งกงจู่จ้องกูสือซานเขม็ง “เห็นหญิงงามแล้วลืมตัว ไม่แปลกใจที่อาจารย์ของข้าบอกว่าบุรุษใต้หล้าล้วนเหมือนกันหมด”
หากในยามปกติ กูสือซานคงตอกกลับประโยคนั้น ทว่าตอนนี้เขากลับนิ่งเงียบไม่พูดอันใด หางตาชำเลืองมองสตรีที่อยู่ด้านหลังอย่างประหลาดใจ
เมื่อเห็นเช่นนั้น ไหวชิ่งกงจู่ยิ่งโมโหมากกว่าเดิม นางผลักกูสือซานออกไปและลงมือพันแผลให้ตนเอง
ทว่านางมีบาดแผลที่มือขวา หลังจากพันแผลอยู่นานก็ไม่สำเร็จเสียที ทันใดนั้น นางก็เดินตรงไปเบื้องหน้าสตรีผู้นั้น และยื่นแขนที่มีผ้าพันอยู่ครึ่งหนึ่งไปเบื้องหน้า “เจ้าพันแผลให้ข้า! ”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไหวชิ่งกงจู่แสดงท่าทีเอาแต่ใจ “ให้เจ้าพันแผลก็ถูกต้องแล้ว แผลนี้เจ้าเป็นคนทำ ข้าไม่แก้แค้นด้วยการกรีดมือเจ้าก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ไหวชิ่งกงจู่พูดพลางเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เจ้าต้องเป็นคนพันแผลให้ แม้จะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม
สตรีผู้นั้นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ นางเหน็บพัดไว้ข้างเอว จากนั้นจึงเริ่มพันแผลให้ไหวชิ่งกงจู่
ดูไปแล้ว ไหวชิ่งกงจู่ผู้นี้คงยังไม่โต!
ผ่านไปครู่หนึ่ง สตรีผู้นั้นก็พันแผลให้ไหวชิ่งกงจู่เสร็จเรียบร้อย ทั้งสองเริ่มเปิดลานประลองต่อสู้พิษ
ซูจิ่นซีและซูอวี้ยืนอยู่ชั้นบน เฝ้ามองคนทั้งสองประมือกันเงียบๆ โดยไม่พูดอันใด
กติกาการแข่งขันนั้นง่ายมาก คนหนึ่งวางยาพิษ ส่วนอีกคนถอนพิษ หลังจากนั้นก็สลับกัน ให้อีกคนวางยาพิษ และอีกคนถอนพิษ
หมุนวนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หากถอนพิษไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นฝ่ายแพ้
ทว่าเงื่อนไขเบื้องต้นคือ ไม่อนุญาตให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ของฝ่ายตรงข้าม
การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว ไหวชิ่งกงจู่เป็นฝ่ายวางยาพิษก่อน
ไหวชิ่งกงจู่ที่กำลังจะวางยาพิษพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางเลิกคิ้วมองสตรีผู้นั้น
“เฮ้! บอกชื่อแซ่ของเจ้ามา! วันนี้ข้ากับเจ้าใครแพ้ใครชนะก็ถือว่าได้รู้จักกันแล้ว ข้าคงไม่ต้องเรียกเจ้าว่า เฮ้ เฮ้ เฮ้ ไปตลอดใช่หรือไม่? ”
สตรีผู้นั้นกางพัดในมือออก ท่าทางสูงศักดิ์มีสง่าราศีไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงบอกชื่อของตนเอง
“ตงหลิงหวง แคว้นตงเฉิน! ”
ตงหลิงคือแซ่แห่งราชวงศ์แคว้นตงเฉิน ส่วนคำว่า ‘หวง’ มีเพียงรัชทายาทองค์ปัจจุบัน ตงหลิงหวง เท่านั้นที่สามารถใช้ได้
แคว้นตงเฉินคือแคว้นที่ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีก็สามารถเป็นฮ่องเต้ได้
วังหลังแห่งแคว้นตงเฉินมีฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว หลังจากที่พระนางให้กำเนิดพระธิดาเมื่อหลายปีก่อนก็ล้มป่วยติดเตียง พระวรกายอ่อนแอ และไม่อาจให้กำเนิดบุตรธิดาแก่ราชวงศ์ตงเฉินได้อีก
เมื่อองค์หญิงมีพระชนมายุได้ห้าชันษา ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเฉินจึงพระราชทานพระนามให้องค์หญิงว่า ‘หวง’ และแต่งตั้งนางเป็นองค์รัชทายาท
ได้ยินมาว่า ตงหลิงหวงเป็นคนฉลาดหลักแหลม ทั้งยังมีพรสวรรค์หาตัวจับได้ยากในประวัติศาสตร์แคว้นตงเฉิน เมื่อมีพระชนมายุได้แปดชันษา นางได้ต่อสู้กับกลุ่มนักสู้ในราชสำนัก เมื่อพระชนมายุเก้าชันษาก็วางแผนรวบรวมกองทัพดินแดนตงเฉินตะวันตกและตะวันออกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน พระชนมายุสิบชันษามีจวนเป็นของตนเองชื่อว่า ‘จวนเป่ย’ นางรวบรวมกองกำลังทหารด้วยการสนับสนุนจากฮ่องเต้ตงเฉิน มีชื่อว่า ‘ทหารจวนเป่ย’ เมื่อพระชนมายุสิบสองชันษา ได้ช่วยฮ่องเต้ตงเฉินโดยการเริ่มเป็นมหาอุปราช เมื่อพระชนมายุสิบสามชันษา ได้นำกำลังทหารจวนเป่ยไปรวบรวมสี่เผ่าใหญ่ที่พื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นตงเฉิน
บัดนี้ องค์หญิงผู้นี้มีพระชนมายุเพียงสิบสี่ชันษา ทั้งยังเป็นรัชทายาทสตรีเพียงองค์เดียวของอาณาจักรเทียนเหอ
นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่ซูจิ่นซีรู้เกี่ยวกับองค์รัชทายาทผู้นี้
ดังนั้นเมื่อนางปรากฏตัวครั้งแรก จึงไม่แปลกที่จะมีจิตวิญญาณของวีรบุรุษและรัศมีอำนาจอันโดดเด่น เพียงแต่… เมื่อพูดถึงเรื่องพิษ วิธีการใช้พิษของชาวไหวเจียงนั้นหาตัวจับได้ยาก ไม่รู้ว่ารัชทายาทองค์นี้จะสามารถชิงความได้เปรียบของไหวชิ่งกงจู่หรือไม่
การแข่งขันลำดับถัดไปใช้เวลานาน หลินเฟิงให้คนนำเก้าอี้สองตัวมาวางตรงปากทางขึ้นบันได ซูอวี้และซูจิ่นซีจึงได้นั่งชมการประลอง
หลังจากตงหลิงหวงบอกชื่อแซ่ของตนเอง แววตาของไหวชิ่งกงจู่ก็ปรากฏความตกใจ นางมองคนผู้นั้นตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียดอีกครั้ง และประสานมือคำนับ
“ที่แท้ก็เป็นรัชทายาทแห่งตงเฉิน เสียมารยาทแล้ว ขออภัย! ”
รอยยิ้มแผ่วเบาปรากฏที่มุมปากของตงหลิงหวง ทว่านางยังคงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด
กูสือซานหรี่ตาลงเล็กน้อย
หลังสิ้นเสียงพูด ไหวชิ่งกงจู่ก็หยิบนกหวีดกระดูกจากแขนเสื้อขึ้นมาเป่า
นกหวีดกระดูกมีเสียงไม่ดังมาก ทว่าแหลมคม
ผ่านไปครู่หนึ่ง ระบบถอนพิษของซูจิ่นซีก็เตือนว่ามีงูพิษเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา
งูนั้นมีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ มันค่อยๆ เลื้อยมาจากรอยแยกกลางประตูและปีนขึ้นมาที่ช่องหน้าต่างอย่างเชื่องช้า ล้อมรอบตงหลิงหวงที่อยู่ตรงกลาง
งูพิษเป็นงูที่พบได้บ่อยที่สุดในแคว้นไหวเจียง ทั้งยังเป็นพิษที่ถอนได้ง่ายที่สุด ดูท่าองค์หญิงแห่งแคว้นไหวเจียงผู้นี้จะออมมือให้ตงหลิงหวง
อย่างไรเสีย แคว้นตงเฉินไม่ชำนาญด้านพิษ ผู้เชี่ยวชาญด้านพิษไม่ควรรังแกคนที่ไม่เชี่ยวชาญด้านพิษจนเกินไป
แม้งูพิษจะมีขนาดตัวไม่ใหญ่นัก ทั้งยังมองดูน่ารัก ทว่าพิษที่งูคายออกมานั้นเป็นพิษร้ายแรง แม้ไม่ถูกพวกมันกัด แต่เพียงสัมผัสพิษที่ไหลออกมาจากลิ้นของมันก็อาจถึงตายได้
ตงหลิงหวงไม่กล้าสบประมาทแม้แต่น้อย ดวงตาล้ำลึกจ้องมองไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำพิษโดยไม่เคลื่อนไหวอยู่ครู่ใหญ่
ไหวชิ่งกงจู่คำนวณดูว่างูพิษที่ปล่อยออกมานั้นเหลือไม่เยอะแล้ว นางจึงเก็บนกหวีดกระดูกด้วยใบหน้าแจ่มใส พลางเลิกคิ้วและยกยิ้มมุมปาก
“ตงหลิงหวง ข้านับถือเจ้า ในฐานะที่เป็นสตรีเหมือนกัน วันนี้ข้าไม่อาจทำให้เจ้าลำบากได้ หากใช้วิชาพิษที่ข้าเชี่ยวชาญเอาชนะเจ้า ก็ดูเหมือนเป็นการรังแกคน นอกจากนั้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้าโค้งคำนับ เพียงเจ้าพูดว่าไม่แข่งแล้ว ข้าก็จะเก็บพิษพวกนี้ แล้วเราสองคนก็ไปดื่มสุราปรับความเข้าใจกัน เจ้าว่าอย่างไร? ”
“…”
สีหน้าของตงหลิงหวงยังคงสงบนิ่งดังเดิม นางนิ่งเงียบไม่พูดอันใด
ไหวชิ่งกงจู่อึดอัดเล็กน้อย คิ้วของนางกระตุกอย่างแรง
“หึ ในเมื่อไม่ให้เกียรติข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เจ้าได้รู้ถึงความร้ายกาจของงูพิษเหล่านี้”
เมื่อนึกมาถึงจุดนี้ นางก็ยกมือขึ้นและสาดผงพิษที่ซ่อนอยู่ในนิ้วมือทั้งห้าออกไป ผงพิษลอยฟุ้งอยู่เหนือร่างของงูน้อย
งูเหล่านั้นถูกกระตุ้นด้วยผงพิษ ทันใดนั้นพวกมันก็เปลี่ยนไปราวกับปีศาจ และโจมตีตงหลิงหวงที่พวกมันล้อมรอบอยู่ตรงกลางอย่างบ้าคลั่ง
“…”
‘ฉึก ฉึก ฉึก’ งูเหล่านั้นกระโดดพุ่งใส่ตงหลิงหวงอย่างไม่คิดชีวิต
ตงหลิงหวงหลบหลีกซ้ายที ขวาที แม้ตอนแรกจะหลบงูพิษตัวเล็กๆ พวกนั้นได้ ทว่าการกระโดดหลบเมือกพิษที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ กลับเป็นเรื่องยาก
ตอนนี้ รัชทายาทตงเฉินยังไม่ได้ใช้วิธีถอนพิษ และยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่ถูกพิษ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้จะไม่ถูกงูพิษกัดจนตาย ก็คงติดเชื้อจากเมือกพิษจนตาย
ไม่ต้องพูดถึงตงหลิงหวง แม้แต่ซูจิ่นซีที่นั่งดูการต่อสู้อยู่ที่ชั้นบนยังขมวดคิ้วเล็กน้อย และเป็นกังวลแทนนาง