สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 21 ตอนที่ 609 สำนักแพทย์เทียนอีกลัวแคว้นเป่ยอี้?
เมื่อผ้าคลุมตัวของผู้ป่วยถูกเปิดออกทั้งหมด ทุกคนต่างสูดลมหายใจลึก
ยิ่งไปกว่านั้น สตรีที่ขวัญอ่อนยังกรีดร้องด้วยความตกใจ
เหล่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แม้จะยังเยาว์วัยเช่นเดียวกับซูอวี้และจงเทียนโย่ว ทว่าพวกเขาคลุกคลีอยู่ในวงการแพทย์มานานหลายปี พบเห็นผู้ป่วยมามากมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่เคยเห็นผู้ป่วยที่มีอาการเช่นนี้มาก่อน
ผู้ป่วยมีขนาดร่างกายสูงพอสมควร ไม่อ้วนมากนัก ทว่าผิวหนังตามร่างกายราวกับถูกถลกออก หนังแห้งติดกระดูก เหมือนลูกบอลที่มีหนังหุ้มเพียงอย่างเดียว
ผิวหนังกับชั้นไขมันบนร่างกายแยกออกเป็นชั้น เหมือนถูกถลกหนัง แต่หลังจากถ่ายเทพลังปราณเข้าไป ผิวหนังก็เต่งตึงขึ้นมา ไม่มีอาการเหมือนคนถูกถลกหนังอีกต่อไป
การลงโทษถลกหนัง ไม่ปรากฏในอาณาจักรเทียนเหอมานานแล้ว
เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้จึงพากันวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
“ผู้ใดทำเช่นนี้? วิธีการโหดเหี้ยมยิ่งนัก”
“ใช่ โหดเหี้ยมมาก”
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีคนตำหนิสกุลจงซึ่งเป็นผู้จัดการแข่งขันซิ่งหลินในครั้งนี้
“ท่านผู้เฒ่าจง ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมัง? เพียงเพื่อจัดการแข่งขัน สกุลจงถึงกับสร้างผู้ป่วยเช่นนี้ออกมา โหดร้ายเกินไปแล้ว ผิดหลักความเมตตาของแพทย์”
“ใช่! ต่อให้สกุลจงจะมีชื่อเสียงโด่งดังในวงการแพทย์มากเพียงใด ทว่าเมื่อกระทำเรื่องเช่นนี้ ก็นับว่าขาดจริยธรรมทางการแพทย์อย่างมาก ไม่เหมาะสมต่อการเป็นที่เคารพของคนในวงการแพทย์อย่างพวกเรา และไม่เหมาะที่จะเป็นหมอด้วยซ้ำ”
“ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ! ” จงจิงเฉินรีบพูดขึ้น “ทุกท่านเข้าใจผิดแล้ว ผู้ป่วยท่านนี้ สกุลจงไม่ได้จงใจสร้างขึ้นมาเพื่อการแข่งขันซิ่งหลิน ทว่าเขาป่วยด้วยโรคประหลาดชนิดหนึ่ง สิ่งที่ทุกท่านเห็นในเวลานี้ เป็นอาการจากโรคของผู้ป่วยท่านนี้”
“โรคประหลาดหรือ? ”
ทุกคนต่างสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหันไปมองผู้ป่วยอย่างละเอียดอีกครั้ง
พวกเขาเห็นผู้ป่วยหลับตาลงเล็กน้อย ยืนกุมมือทั้งสองไว้ด้านหน้า และก้มหน้าไม่กล้าสบสายตาผู้ชม
เห็นได้ชัดว่าผู้ป่วยท่านนี้มีความวิตกกังวล ทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยในสายตาผู้คน
หลายคนที่มองผู้ป่วยคนนี้แล้ว ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกสงสารขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก
“ท่านอ๋องน้อยเย่ คุณชายเทียนโย่ว ผู้ป่วยท่านนี้ป่วยเป็นโรคอันใดกัน? พวกท่านมองออกหรือไม่? หากทราบแล้วก็รีบช่วยชีวิตเขาเถิด! เขาช่างน่าสงสารยิ่งนัก”
“ใช่! ป่วยเป็นโรคประหลาด ทั้งยังถูกแสงไม่ได้อีก เขาต้องทุกทรมานอย่างมากเป็นแน่”
เป่ยถางเย่ยืนบนเวทีด้วยความมั่นใจ เขาประสานมือคำนับผู้ชมและพูดว่า “ทุกท่านโปรดวางใจ ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อรักษาผู้ป่วยท่านนี้”
“ใช่! ” จงเทียนโย่วประสานมือคำนับทุกคนเช่นกัน “แม้วันนี้จะเป็นเพียงการแข่งขัน ทว่าความเมตตาของผู้เป็นหมอ และการช่วยชีวิตผู้ป่วย เป็นพื้นฐานของความเป็นหมออยู่แล้ว พวกเราจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถแน่นอน”
“คุณชายเทียนโย่ว ท่านจะเริ่มก่อน หรือให้ข้าเริ่มก่อน? ” เป่ยถางเย่เอ่ยถามจงเทียนโย่ว
“ท่านอ๋องน้อยเย่ วันนี้แสงแดดไม่แรงนัก ทว่ายังมีบ่าวรับใช้มากางร่มให้ อาการป่วยของผู้ป่วยท่านนี้พิสดารมาก เกรงว่าจะยืนอยู่บนเวทีได้ไม่นาน พวกเราตรวจดูอาการพร้อมกันเถิด! ทำเช่นนี้จะลดทอนเวลาไปได้มากทีเดียว”
“ตกลง! ”
เป่ยถางเย่เห็นด้วย ทั้งสองจึงเริ่มตรวจอาการพร้อมกัน
พวกเขาตรวจชีพจร ดูอาการ ทดสอบ และสอบถาม
หลังผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทั้งสองก็เดินกลับมายังตำแหน่งของตนเองพร้อมกัน เหล่าผู้ชมพลันรู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
พวกเขาเป็นกังวลแทนผู้ป่วย และตื่นเต้นแทนผู้เข้าแข่งขันทั้งสองคนอย่างจงเทียนโย่วและเป่ยถางเย่
พวกเขาต้องการถามจงเทียนโย่วและเป่ยถางเย่อย่างมากว่า มีวิธีรักษาผู้ป่วยท่านนี้หรือไม่? ทว่าทหารที่คอยรักษาความสงบบนเวทีได้เอ่ยเตือนพวกเขา ดังนั้น พวกเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้น
ในที่สุด จงจิงเฉินในฐานะผู้ดำเนินการแข่งขันก็ถามปัญหาที่ค้างคาใจแทนเหล่าผู้ชมทุกท่าน
“ทั้งสองท่านตรวจอาการแล้ว มีความคิดเห็นเช่นไร? ”
จงจิงเฉินพูดพลางส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้นำกระดาษและพู่กันขึ้นมาบนเวที และวางบนโต๊ะให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง
เป่ยถางเย่เดินไปหยิบพู่กันโดยไม่ลังเล และเริ่มต้นเขียนวิธีการรักษาของตนเอง
จงเทียนโย่วสงบนิ่งครุ่นคิด ก่อนจะเดินไปเขียนแผนการรักษาของตนเองเช่นกัน
แผนการรักษาทั้งสองชุดถูกส่งมอบให้ผู้ตัดสิน เมื่อทุกคนเปิดอ่านก็พยักหน้าทีละคน
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยท่านนี้ หอโอสถสกุลจงรับเข้ามาทำการรักษาอยู่นานแล้ว ทว่าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ผู้อาวุโสสกุลจงหลายท่านจึงไม่กล้าตัดสินใจ ผลสุดท้ายจึงส่งมอบอำนาจการตัดสินใจอันเด็ดขาดให้กับท่านหัวหน้าสำนักแพทย์เทียนอีทั้งสองท่าน
เมื่อแผนการรักษาทั้งสองชุดถูกส่งไปให้หัวหน้าทั้งสองท่าน ทุกคนต่างตื่นเต้นอีกครั้ง สายตาของพวกเขาพุ่งความสนใจไปที่หัวหน้าสำนักทั้งสอง เฝ้ามองสีหน้าของพวกเขาอย่างละเอียดทุกรูขุมขน
ภายในพื้นที่พักของผู้เข้าแข่งขัน ถังเสวี่ยเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจ นางกระชากเสียงเย็นชาและมองไปที่ไหวชิ่งกงจู่ “เยวี่ยไหวชิ่ง ถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังคิดว่าผู้ป่วยท่านนี้ถูกพิษอีกหรือไม่? ”
สีหน้าไหวชิ่งกงจู่สงบนิ่ง “ถูกพิษหรือไม่นั้น อีกสักครู่ เมื่อหัวหน้าทั้งสองท่านยืนยันแผนการรักษา ก็รู้ผลแล้วมิใช่หรือ? ”
ถังเสวี่ยแสดงท่าทางกลายๆ ว่าเจ้าแพ้แน่นอน ทั้งไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย
หัวหน้าสำนักแพทย์ทั้งสองอ่านแผนการรักษาอยู่นาน ทุกคนต่างเฝ้ารอจนแทบจะหมดความอดทนแล้ว
มีบางคนอดเอ่ยถามไม่ได้
“ท่านหัวหน้าทั้งสอง พวกท่านอ่านแล้ว ผลเป็นอย่างไรบ้าง? แผนการรักษาของท่านอ๋องน้อยเย่หรือของคุณชายเทียนโย่วที่มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน? ”
“ใช่! หากตัดสินใจได้แล้ว พวกท่านทั้งสองก็บอกพวกเรามาเถิด! หรือหากยังตัดสินใจไม่ได้ ก็พูดออกมา”
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนจงใจพูดจาเยาะเย้ย “คงไม่ใช่ว่าแผนการรักษาของคุณชายเทียนโย่วดีกว่า ทว่าพวกท่านทั้งสองเกรงสถานะพิเศษของท่านอ๋องน้อยเย่ จึงไม่กล้าตัดสินใจกระมัง? ”
หัวหน้าสำนักแพทย์กระชากเสียงเย็นชา “หึ หมายความว่าอย่างไร? สำนักแพทย์เทียนอีของพวกเรามีสถานะอย่างไร? ไม่มีทางหวาดกลัวแคว้นเล็กๆ อย่างแคว้นเป่ยอี้เป็นแน่”
“ในเมื่อไม่กลัว เช่นนั้นก็บอกคำตอบเถิด การแข่งขันครั้งนี้ควรจบในคราวเดียว ไม่มีหยุดชะงักกลางคัน ยามนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงวันแล้ว คณะกรรมการแต่ละท่านอิดออดไม่ตัดสินใจ ต้องการให้พวกเราฉลองตรุษจีนกับพวกท่านที่นี่หรือ? ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ผู้ชมทุกคนต่างหัวเราะกันยกใหญ่
หัวหน้าอาวุโสของสำนักโอสถมีอายุเกินครึ่งร้อยแล้ว เส้นผมและหนวดเครามีสีขาวโพลน ทว่าใบหน้ากลับดูอิ่มเอิบดั่งเทพเซียน
เคราสีขาวของหัวหน้าสำนักโอสถพลันกระตุก ทว่าเขาไม่พูดอันใด ทั้งยังห้ามปรามหัวหน้าสำนักแพทย์ที่กำลังจะพูดตอบโต้
เจ้าสำนักอยู่ด้วย! ต่อให้พวกเขาเป็นผู้ตัดสิน ทว่าไม่มีเหตุผลที่พวกเขาต้องพูดแทนสำนักแพทย์เทียนอี
หัวหน้าสำนักแพทย์สงบปากสงบคำอย่างชาญฉลาด เขาหยิบแผนการรักษาทั้งสองฉบับมาวิเคราะห์ให้ทุกคนฟัง
“แผนการรักษาของคุณชายเทียนโย่วกับท่านอ๋องน้อยเย่ทั้งสองคนเขียนออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก ทั้งวิธีการที่นำไปใช้ก็คล้ายคลึงกัน ทว่า… ”
หัวหน้าสำนักแพทย์พูดได้เพียงครึ่งประโยค ทันใดนั้น หัวหน้าสำนักโอสถก็พูดตัดบทว่า “เช่นนั้น ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองท่าน โปรดออกมาอธิบายวิธีการรักษาของตนให้ทุกท่านฟังจะดีกว่า”
กล่าวได้ว่า ตัดสินด้วยวิธีนี้ยุติธรรมมาก
จากกฎการแข่งขันก่อนหน้านี้ คือผู้เข้าแข่งขันเขียนแผนการรักษามาให้ผู้ตัดสิน จากนั้นผู้ตัดสินจะประกาศผล ส่วนคนที่เหลือไม่สามารถรับรู้แผนการรักษาที่เขียนลงไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่าการตัดสินใจของผู้ตัดสินนั้นยุติธรรมหรือไม่
ทว่าวิธีของหัวหน้าสำนักโอสถ คนที่เหลือสามารถมีส่วนร่วมได้ ทุกคนล้วนมีความรู้ด้านวิชาแพทย์และวิชาโอสถ ต่อให้ไม่อาจตัดสินใจได้ ก็ยังสามารถเป็นสักขีพยานได้เช่นกัน
ทุกคนต่างแสดงความเห็นด้วยกับวิธีการนี้ จงเทียนโย่วจึงก้าวมาด้านหน้าและอธิบายแผนการรักษาของตนเองก่อน