สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 21 ตอนที่ 624 บัญชีแค้นทั้งเก่าใหม่ คิดรวมกัน
“ทุกท่านลองคิดดู หลายปีที่ผ่านมา ทุกท่านร่ำเรียนวิชาแพทย์ที่สำนักโอสถสกุลจงของข้า ร่ำเรียนที่สำนักโอสถสกุลจงของข้า ข้าและลูกหลานปฏิบัติต่อทุกท่านอย่างไร! ”
เรื่องนี้ ไม่รู้จะพูดอย่างไรจริงๆ
ไม่ว่าจงซูอี้กับบุตรชายของเขาจะเคยทำสิ่งใดไว้กับแคว้นหนานหลีและราชวงศ์ ไม่ว่าพวกเขาจะสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นไหวเจียงหรือไม่ ทว่าพวกเขาปฏิบัติต่อลูกศิษย์เป็นอย่างดี
วิชาแพทย์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งต้องใช้เวลาร่ำเรียนอยู่สี่ห้าปี กว่าจะได้ทำงานที่หอโอสถ ทว่าคนที่ขาดพรสวรรค์ เรียนเป็นสิบๆ ปีก็ไม่สำเร็จ ต้องลงแรงนานหลายปีถึงเพียงนี้ พวกเขาหาค่าใช้จ่ายมาจากที่ใดกัน?
หากสถานะทางบ้านดีก็ไม่น่าเป็นห่วง ทว่าหากสถานะทางบ้านไม่ดี แน่นอนว่าคงจ่ายไม่ไหว
หลายปีมานี้ สำนักโอสถสกุลจงช่วยเหลือด้านการเงินแก่พวกเขาไม่น้อย
จิตใจมนุษย์แสนเปราะบาง โจมตีเพียงครั้งเดียวก็ชนะ
คนที่อยู่ฝั่งจงซูอี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และมีคนจำนวนมากที่หันดาบในมือไปทางซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนั่งอยู่บนพื้นอย่างอ่อนแรง ทั้งยังโดดเดี่ยวไร้คนช่วยเหลือ
ทว่าวันนี้ นางไม่อาจถอยหลัง ไม่อาจยอมแพ้ได้อีก
หากนางแพ้ สำนักแพทย์สกุลจงจะไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับ หากนางแพ้ มู่หรงฉี ฮูหยินเฒ่าหาน จงรุ่ยอันและบุตรชาย หรือแม้แต่ซูอวี้ที่เพิ่งได้เป็นหมอวิเศษ พวกเขาทั้งหมดจะตกอยู่ในอันตราย
เวลานี้ นางไม่เพียงแบกรับความสำเร็จและความล้มเหลวเอาไว้ ทว่ายังรวมถึงความรับผิดชอบต่อความเป็นความตายของคนเบื้องหลังที่ไว้ใจนางอีกด้วย
เพราะฉะนั้น นางจะแพ้ไม่ได้
ในตอนที่ไม่มีผู้ใดเห็น จงซูอี้ยกยิ้มมุมปากให้ซูจิ่นซี
เด็กน้อยเอ๋ย คิดจะต่อกรกับจงซูอี้ ยังเร็วไปหลายปี!
ตอนนี้… เจ้ายังอ่อนหัดนัก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่คาดคิดว่า ขณะที่ซูจิ่นซีเห็นรอยยิ้มของเขา นอกจากนางจะไม่โมโหหรือตื่นตกใจแล้ว นางยังเผยรอยยิ้มที่เย็นชายิ่งกว่าเขาเสียอีก
รอยยิ้มภาคภูมิใจของจงซูอี้ที่มอบให้ซูจิ่นซีค่อยๆ เลือนหายไป ทันใดนั้น น้ำเสียงอันไพเราะก็ดังขึ้น
“ตาเฒ่าจง เจ้าช่างไร้ยางอายเสียจริง พาคนจำนวนมากมารังแกแม่นางพิษน้อย ยังไม่คิดละอายใจอีก หากต้องการสู้นัก ก็มาสู้กับข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ร่างสีแดงงดงามก็เหาะลงมาจากท้องฟ้าราวกับปีกผีเสื้อร่ายรำ เขาร่อนลงมาเบื้องหน้าซูจิ่นซี และยืนเผชิญหน้ากับจงซูอี้
อู๋จุน!
เมื่อครู่ อู๋จุนยังอยู่บนที่นั่งของผู้ชมมิใช่หรือ!
ไม่รู้ว่าเขาจากไปตั้งแต่เมื่อไร ทันใดนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ อีกทั้งด้านหลังของเขายังมีคนอีกจำนวนหนึ่งตามมาด้วย ดูจากเครื่องแต่งกายของพวกเขา รู้ได้ทันทีว่าเป็นองครักษ์ของหุบเขาเทพโอสถ
อู๋จุนเลี้ยงองครักษ์หุบเขาเทพโอสถด้วยยาจำนวนมาก แม้จะไม่โหดร้ายเท่าศพพิษของไหวเจียง ทว่าพวกเขามีทักษะการต่อสู้ที่ดี
ศิษย์บางคนเมื่อเห็นองครักษ์ของอู๋จุนก็อดถอยหลังไปหนึ่งก้าวไม่ได้
จงซูอี้มองไปที่เหล่าลูกศิษย์ด้วยสายตาขุ่นเคือง ทว่าไม่นานก็หันมาพูดกับอู๋จุน
“ดูแล้ว เจ้าหุบเขาคงมาเพื่อขัดขวางกระมัง! ทว่าด้วยกำลังคนของเจ้า คิดว่าจะต่อต้านข้าได้หรือ? ”
ว่ากันตามตรง แม้องครักษ์ของหุบเขาเทพโอสถจะมีทักษะการต่อสู้ ทว่าดูจากจำนวนคน แน่นอนว่ามีน้อยกว่ากลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังจงซูอี้ ซึ่งมีทั้งลูกศิษย์สกุลจง และองครักษ์ของสกุลจง ทั้งเหล่าองครักษ์สกุลจงยังเป็นคนที่คัดมาจากทหารในกองทัพ ทักษะการต่อสู้แข็งแกร่งมาก
อย่างไรก็ตาม อู๋จุนยังไม่ทันได้พูดอันใด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านบนสนามประลอง
เสียงนั้นดูเป็นธรรมชาติ ดังกังวาน สง่างามและไพเราะ… ซึ่งเป็นเสียงของสตรี
เมื่อสิ้นเสียงพูดกลับไม่เห็นต้นเสียง ทว่าสิ่งที่ตกลงมาท่ามกลางสายตาของทุกคนคือแถบผ้าสีเหลืองอ่อนเส้นหนึ่ง แถบผ้าหลากสีล่องลอยอยู่กลางอากาศทั่วทั้งลานประลอง ให้ความรู้สึกชวนฝัน
ทันใดนั้น ร่างสีเหลืองอ่อนก็เหาะลงมาท่ามกลางสายตาของผู้คน นางเหยียบแถบผ้าสีเหลืองอ่อน และเหาะลงมาอย่างเชื่องช้าและสง่างาม ลงมายืนอยู่ข้างกายอู๋จุน
แม่นางผู้นั้นเป็นสตรีจากแคว้นจงหนิง ผมเกล้ามวยยกสูง เส้นผมหนาสลวย ริมฝีปากแดง ฟันขาว ท่วงท่าสง่างามดั่งดอกโบตั๋น ราชาแห่งดอกไม้
หลังจากที่นางเหาะลงสู่พื้นอย่างมั่นคง ข้างหลังก็ปรากฏขุนพลเทพ สตรีในชุดเขียวที่ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีพลันเหาะตามลงมา หัวหน้าของสตรีชุดเขียวคือชายสูงวัยในชุดสีเดียวกัน เขามีรูปร่างไม่สูงนัก และมีผมสีขาวเทา
เมื่อเห็นคนเหล่านี้ ถังเสวี่ยที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนพลันใบหน้าเปลี่ยนสี นางหดศีรษะลง และเดินหายไปท่ามกลางกลุ่มคนอย่างแผ่วเบา
ใบหน้าของสตรีนางนั้นปรากฏความเย็นชา “ถังเสวี่ย เจ้าจะไปที่ใด? ”
ถังเสวี่ยตกตะลึง รีบก้มหน้าเดินไปด้านหน้าและคำนับสตรีนางนั้น “ท่าน… ท่านแม่! ”
ไม่ผิด แม่นางผู้นั้นคือมารดาของถังเสวี่ย ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเจ้าหุบเขาร้อยบุปผา
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกระชากเสียงเย็นชา พลางเหลือบมองถังเสวี่ยด้วยแววตาเฉยเมย “หึ เจ้ายังจำได้ด้วยหรือว่าข้าคือมารดาของเจ้า! ”
ถังเสวี่ยตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม พลางยกยิ้มมุมปากที่แทบดูไม่ได้
“ท่านแม่ ถังเสวี่ย… ถังเสวี่ยจำได้ จะลืมได้อย่างไร ถังเสวี่ยไม่มีทางลืม! ”
“หึ! ” ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งกระชากเสียง ก่อนจะมองอู๋จุนที่ยืนอยู่ด้านข้างด้ายสายตาเย็นชา
อู๋จุนกวาดสายตาเย็นชาไปทางฮูหยินเตี๋ยเมิ่งเช่นกัน
ระหว่างพวกเขาพลันเกิดประกายไฟ
ถังเสวี่ยรีบจับแขนฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง “ท่านแม่ อย่าโทษพี่เป่าอวี้เลย ถังเสวี่ยหนีออกมาจากหุบเขาร้อยบุปผา เป็นถังเสวี่ยที่ตามพี่เป่าอวี้มาเอง ท่านแม่อย่าได้โกรธพี่เป่าอวี้เลย”
ใบหน้าฮูหยินเตี๋ยเมิ่งยิ่งทวีความเย็นชา “รอจัดการคนสกุลจงเรียบร้อยแล้ว ข้าจะมาจัดการพวกเจ้า! ” พูดจบ ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งก็พูดกับชายชรา “ลวี่เวิง พาคุณหนูออกไป! ”
ลวี่เวิงรีบก้าวไปข้างหน้า และรั้งถังเสวี่ยออกมา “คุณหนู อย่าทำให้ฮูหยินขุ่นเคือง วันนี้ฮูหยินมาที่นี่เพื่อช่วยแม่นางซู นางไม่มีทางทำอันใดคุณชายใหญ่ในตอนนี้”
เมื่อนำถังเสวี่ยออกไปแล้ว ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งก็หันไปมองซูจิ่นซีที่นั่งอยู่บนพื้น “จิ่นซี เด็กน้อย ยังไหวหรือไม่! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ขอบคุณฮูหยินเตี๋ยเมิ่งที่มาตามสัญญา จิ่นซียังไหว! ”
“ไม่ต้องขอบคุณข้า! เจ้าเป็นบุตรสาวของซีจือ ข้ากับมารดาเจ้าเป็นสหายกัน เจ้านับว่าเป็นบุตรสาวอีกคนหนึ่งของข้า รังแกเจ้าก็เท่ากับรังแกฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง รังแกหุบเขาร้อยบุปผา รังแกสำนักถังเหมินของข้า! ”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น แสงเย็นยะเยือกพลันปรากฏในดวงตาสง่างามของฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง นางค่อยๆ กวาดสายตาไปทางจงซูอี้
จงซูอี้ขมวดคิ้วแน่น
“ชิวเตี๋ยเมิ่ง เจ้ามาทำอันใด? ”
“ผู้นำสกุลจง หนี้ที่สกุลจงติดค้างข้า ชิวเตี๋ยเมิ่ง ยังไม่ได้ชำระ! เจ้าว่าข้าควรมาหรือไม่? หึ หากตอนนั้น ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ซีจือ ข้า ชิวเตี๋ยเมิ่งจะกล้ำกลืนความขุ่นข้องหมองใจที่ได้รับจากพวกเจ้าได้อย่างไร? ไม่คิดเลยว่าวันนี้ พวกเจ้ายังคิดจะรังแกบุตรสาวของซีจืออีก ผู้นำสกุลจง สิบปีมานี้เจ้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย แก่ชราถึงเพียงนี้แล้วยังหน้าไม่อายอีก! ”
หนวดที่มุมปากของจงซูอี้กระตุกอย่างแรง เขาโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำ “ตอนนั้น เป็นเจ้าที่ไม่ปฏิบัติตามประเพณีของสตรี ยังมีหน้ามาพูดจายอกย้อนอีก”
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งโกรธจนดวงตาแดงก่ำ “เรื่องในตอนนั้นเป็นอย่างไรไม่สำคัญ มิตรภาพระหว่างข้ากับจงเนี่ยขาดสะบั้นไปนานแล้ว ไม่ขอพบเจออีก ผู้นำสกุลจง วันนี้เมื่อได้พบกันแล้ว พวกเรามาชำระหนี้แค้นทั้งเก่าใหม่รวมกันเถิด”
นางพูดพลางชักกระบี่เล่มยาวในมือออกมาและชี้ไปทางจงซูอี้