สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 21 ตอนที่ 629 ข้าต้องการพาซูจิ่นซีไป
ข่าวการเสียชีวิตของจงเนี่ยแพร่สะพัดมาถึงสนามประลองซิ่งหลินอย่างรวดเร็ว
องครักษ์และเหล่าลูกศิษย์สกุลจงที่กำลังต่อสู้พลันตื่นตระหนก พวกเขารีบทิ้งอาวุธและวิ่งหนีไปทุกทิศทุกทาง จงซูอี้ที่กำลังต่อสู้กับซูจิ่นซีชะงักไปครู่หนึ่ง พลังฝ่ามือที่ซัดออกไปช้าลงเล็กน้อย ซูจิ่นซีใช้โอกาสนี้เตะตัดขาจงซูอี้ให้ตกลงจากเวทีประลอง
เหล่าลูกศิษย์และองครักษ์ของสกุลจงยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น เมื่อเห็นจงซูอี้พ่ายแพ้ให้แก่ซูจิ่นซี
นี่นับเป็นการยื่นโอกาสให้ศัตรู ทำให้กำลังคนของซูจิ่นซีได้เปรียบอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ เวทีประลองกลายเป็นทะเลเดือดไปแล้ว
กูสือซานเห็นเช่นนั้น จึงสบถอย่างรุนแรง “พวกไร้ประโยชน์! ”
เลือดที่เจิ่งนองเต็มพื้นสะท้อนในแววตาของจงซูอี้ และเตือนสติเขา เพราะตอนที่ได้รับข่าวว่าบุตรชายเสียชีวิต ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย
จงซูอี้ลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว “ลูกศิษย์สกุลจงทุกคน อย่าได้ตกใจ อย่าได้ตกใจ ท่านแม่ทัพใหญ่มีองครักษ์และองครักษ์เงาสกุลจงที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดอยู่ในมือ เขาต้องไม่พ่ายแพ้อย่างแน่นอน นี่เป็นเพียงอุบายของศัตรูที่สร้างความสับสนให้พวกเราเท่านั้น อีกอย่าง ทหารสี่แสนนายของสกุลจงได้ประจำการอยู่นอกเมืองแล้ว วันนี้สกุลจงต้องชนะอย่างแน่นอน”
คำพูดของจงซูอี้ปลุกใจคนได้เป็นอย่างดี เหล่าลูกศิษย์สกุลจงที่กำลังตื่นตระหนกเริ่มมีกำลังใจมากขึ้น ทุกคนรีบหยิบกระบี่ยาวบนพื้นขึ้นมาต่อสู้กับศัตรูอย่างรวดเร็ว
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด ในเวลานั้นเอง JX4 ปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงด้านนอกสนามประลอง ก่อนจะโยนศีรษะเปื้อนเลือดลงบนกลางเวที
“จงซูอี้ ท่านลองดู สิ่งนี้คืออันใด? ”
ในตอนนั้น ไม่ได้มีเพียงจงซูอี้ ทว่าทุกคนในสนามประลองต่างหยุดชะงัก และมองไปที่ศีรษะเปื้อนเลือดนั้น
“อ๋า… เป็นท่านแม่ทัพใหญ่ เป็นท่านแม่ทัพใหญ่… ” ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดท่ามกลางฝูงชนที่ตะโกนออกมา ทหารและองครักษ์ของสกุลจงพลันตื่นตระหนก
“ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว ฝ่าบาทเสด็จกลับมาแล้ว! ”
ทันใดนั้น องครักษ์กองทัพยวี่หลินผู้หนึ่งก็ขี่ม้าเข้ามาในสนามประลอง พร้อมกับพระราชโองการหนึ่งฉบับ
“ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ ผู้ที่กบฏ สังหารไม่ละเว้น! ”
ฝ่าบาท?
ฝ่าบาทใด?
เหล่าลูกศิษย์สกุลจงและองครักษ์สกุลจงต่างตื่นตระหนก ไม่นานก็กลับมาได้สติว่า ฝ่าบาทคือผู้ใด
ในที่สุด ฝ่าบาทที่หายสาบสูญไปนานหลายปี พระองค์เสด็จกลับมาแล้ว หมายความว่าอย่างไร?
นี่แสดงให้เห็นว่า สกุลจงกล้าต่อต้านราชวงศ์ ช่วงเวลาของมังกรทั้งสาม มหาอุปราช ฉีอ๋อง และจงเนี่ย ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น จงเนี่ยเสียชีวิต เทพสงครามแห่งสกุลจงได้จบชีวิตลงแล้ว สกุลจงที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจอยู่ในมือ ตอนนี้ถึงคราวจบสิ้น
พวกเขาปลดอาวุธในมือลงอีกครั้ง ทั้งยังคิดจะหนี ทว่าถูกอู๋จุนและคนของฮูหยินเตี๋ยเมิ่ง รวมถึงขุนพลผีจับกลับมาอย่างรวดเร็ว เกิดเหตุการณ์เลือดนองไปทั่วสนาม
กองทัพทั้งสองต่างเผชิญหน้ากันอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ ผลแพ้ชนะชัดเจนแล้ว
แม้ฝ่ายของจงซูอี้ยังมีทหารอยู่นอกเมืองอีกสี่แสนนาย ทว่าจนถึงตอนนี้ กองทัพทหารของเขายังไม่ได้เข้าเมือง พวกเขาต้องเจอกับข้อจำกัดบางอย่างเป็นแน่
กูสือซานสบถอย่างรุนแรง และตัดสินใจออกจากแคว้นหนานหลีไปกับหลานอวี่ ทว่าก่อนจะออกจากแคว้นหนานหลี เขาต้องพาจงซูอี้ไปด้วย
ขณะที่คนของแคว้นไหวเจียงกำลังจะจากไป ทันใดนั้น เยี่ยเซินก็พูดว่า “ข้าต้องพาจิ่นซีไปด้วย ข้าต้องพาจิ่นซีไปด้วย”
ใบหน้าของกูสือซานพลันถมึงทึง “นี่มันเป็นเวลาใดแล้ว เจ้ายังพะวงเรื่องชายหญิงอยู่อีกหรือ”
เยี่ยเซินมีท่าทีมั่นคงยิ่งนัก “หากไม่พาจิ่นซีไป รัชทายาทอย่างข้าก็จะไม่กลับไป”
กูสือซานกับหลานอวี่ต่างขมวดคิ้วเครียด
ทว่าไม่นานนัก ใบหน้างดงามของหลานอวี่ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนชั่วร้าย
“วิชาพิษของซูจิ่นซีนั้นไม่เลว ทั้งนางยังเคยเอาชนะหมอพิษของแคว้นไหวเจียงเราหลายคน ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจมีประโยชน์ต่อแคว้นไหวเจียงของเรา”
จงซูอี้รีบพูดเสริมอย่างเห็นด้วย “ถูกต้อง พาซูจิ่นซีไปด้วย ในตัวของสตรีผู้นี้มีสิ่งควรค่าให้พวกเราศึกษาอีกมากมาย ยิ่งไปกว่านั้น นางรู้เรื่องราวใต้ทะเลสาบของสกุลจงเราแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจจะรู้เรื่องเขตต้องห้ามของสกุลจงด้วยก็เป็นได้ ไม่อาจปล่อยให้คนผู้นี้อยู่นอกแคว้นไหวเจียง”
ใบหน้าของกูสือซาน หลานอวี่ จงซูอี้ และเยี่ยเซินทอประกายความเย็นชา และจ้องไปทางซูจิ่นซี
แม้ซูจิ่นซีจะมีพลังสยบมังกร ทว่านางถูกพลังสยบมังกรสะท้อนกลับตอนอยู่ในเขตเวทมนตร์ ทำให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้ง ตอนที่ต่อสู้กับจงซูอี้ก่อนหน้านี้ นางเอาชนะจงซูอี้ได้อย่างเฉียดฉิว ทว่านางจะต้านทานพลังของพวกเขาทั้งสี่คนได้อย่างไร?
ทันใดนั้น เมื่อซูจิ่นซีพบว่าหลานอวี่และพรรคพวกทั้งสี่คนโจมตีมาที่นาง ทว่าจะรับมือก็ไม่ทันเสียแล้ว ฝ่ามือทั้งสี่โจมตีมาเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว
อู๋จุนเป็นคนแรกที่เห็นซูจิ่นซีตกอยู่ในอันตราย จึงรีบพุ่งไปช่วยซูจิ่นซี
ฮูหยินเตี๋ยเมิ่งก็พุ่งเข้าไปช่วยอีกคน
ทว่าพวกเขาอยู่ห่างจากซูจิ่นซีมากเกินไป จึงไปไม่ทันเวลา
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังเผชิญหน้ากับหลานอวี่ และจงซูอี้ที่ใช้มือจับหัวไหล่ของซูจิ่นซีไว้ทางด้านหลัง ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวอันเย็นยะเยือกจากพลังภายในก็ปรากฏขึ้นและโจมตีไปทางพวกเขา
มองดูแล้ว แม้ลำแสงนั้นจะมีความเยือกเย็นและอ่อนโยน ทว่าเมื่อมันระเบิดพลังท่ามกลางพวกเขาทั้งสี่ กลับกลายเป็นพลังที่รุนแรงอย่างที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้ ทำให้หลานอวี่กับพรรคพวกทั้งสี่กระเด็นออกไป รวมถึงซูจิ่นซีที่ถูกพลังซัดไปในทิศทางเดียวกับคนทั้งสี่
ซูจิ่นซีถูกพลังที่รุนแรงโยนขึ้นไปในอากาศ ร่างกายขยับขึ้นอย่างเชื่องช้าด้วยแรงที่แผ่ขยายออกไป และไม่สามารถใช้พลังอันใดได้
ขณะที่ซูจิ่นซีดิ้นรนอย่างสุดกำลัง ร่างสงบนิ่งในชุดขาวดั่งหิมะก็เหาะมาจากแท่นสูงในระยะไกล และโอบร่างของนางไว้ ก่อนจะหมุนตัวลงมาอย่างสวยงามและมั่นคง
ภาพเหตุการณ์นี้ ตกอยู่ในสายตาของกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กัน หลายคนแทบจะลืมว่าอาวุธในมือของตนเสียบอยู่ที่หน้าอกของคู่ต่อสู้ และลืมไปว่ากระบี่ยาวในมือของศัตรูกำลังจะบั่นคอของตน พวกเขาต่างมองร่างของคนทั้งสองที่ลอยลงมาจากท้องฟ้าด้วยความตะลึงจนตาค้าง กระทั่งทั้งสองลงมายืนบนพื้นอย่างมั่นคง พวกเขาก็ยังไม่ได้สติ
จิ่วหรงวางร่างของซูจิ่นซีลงบนพื้น คิ้วดกดำขมวดเล็กน้อย เขาค่อยๆ เช็ดเลือดบนหน้าผากของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน
“แม้พลังภายในจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว ทว่าวรยุทธ์ยังไม่ถึงไหน กลับไปอาจารย์จะสอนเจ้าด้วยตนเอง”
ในสนามประลองที่โกลาหล จิ่วหรงกลับนั่งอยู่ที่ตำแหน่งเดิมอย่างสงบนิ่ง ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับการฆ่าฟัน สนใจเพียงรักษาชีวิตตนเองและการต่อสู้ ทุกคนต่างลืมไปว่ายังมีจิ่วหรงอยู่ และไม่มีคาดคิดว่า ในที่สุด จิ่วหรงก็ลงมือ
หลานอวี่และกูสือซานคลานขึ้นมาจากพื้น มือกุมหน้าอกที่ได้รับบาดเจ็บ
“คุณชายจิ่ว ท่านช่วยฝ่ายใดกันแน่? ท่านอย่าลืม… ”
หลานอวี่ยังพูดไม่ทันจบ แขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะของจิ่วหรงก็ยกขึ้นทันที ทำให้หลานอวี่กระเด็นลอยออกไป จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย กระทั่งใบหน้าก็ไม่หันไปมอง
เมื่อกูสือซาน จงซูอี้ และเยี่ยเซินเห็นเช่นนั้นแล้ว แม้พวกเขาต้องการประมือ แต่ไม่มีผู้ใดกล้าเดินไปข้างหน้า
จิ่วหรงกวาดสายตามองพวกเขาด้วยสายตาเฉยเมย และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน “เด็กโง่ผู้นี้เป็นศิษย์รักของเจ้าสำนักอย่างข้า หากผู้ใดกล้าลงมือกับนาง ต้องผ่านข้า จิ่วหรงไปให้ได้ และจะถือว่าคนผู้นั้นเป็นศัตรูกับสำนักแพทย์เทียนอีของข้า”
แม้น้ำเสียงของจิ่วหรงจะแผ่วเบา แม้เขาจะพูดให้จงซูอี้ กูสือซาน และเยี่ยเซินได้ยินเพียงสามคน ทว่าความเย็นชาและเด็ดขาดนั้น กลับทำให้กับผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ตกใจจนตัวสั่นเทา
มือของจิ่วหรงประคองไหล่ของซูจิ่นซีไว้ แม้เขาไม่ได้ทำอันใด ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกได้ถึงกระแสน้ำอุ่นที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างเชื่องช้า จากนั้น ลมปราณภายในของนางที่สับสนวุ่นวายจากผลกระทบของพลังสยบมังกรก็ค่อยๆ ปรับสมดุล ลมปราณที่สับสนในจุดตันเถียนค่อยๆ จางหายไป ทั่วทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง