สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 631 พระชายา ท่านอ๋องมาแล้ว…
ไม่รู้เพราะเหตุใด หรือนางคิดมากไป ซูจิ่นซีรู้สึกว่ารอยยิ้มของจิ่วหรงเหมือนชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้ต้นดอกไห่ถัง และมองนางด้วยรอยยิ้มสดใส
อย่างไรก็ตาม ระหว่างพวกเขาราวกับมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกัน
จิ้งจอกน้อยกระโดดออกจากแขนของจิ่วหรง และนอนอยู่ในอ้อมแขนของเจ้านายอย่างเชื่อฟัง พลางปัดหางขนาดใหญ่ไปทางซูจิ่นซีอย่างซุกซน
ซูจิ่นซีเพียงเหลือบมองจิ้งจอกน้อยโดยไม่คิดอันใดมาก
“มีเรื่องใดจะถามข้าหรือไม่? ” ทันใดนั้น จิ่วหรงก็พูดขึ้น
เดิมที ซูจิ่นซีต้องการถามจิ่วหรงเกี่ยวกับเรื่องของอวิ๋นจิ่น
ทว่าสุดท้ายแล้ว นางกลับเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ “จิ่วหรง ท่านอยู่ที่สำนักแพทย์เทียนอีมานานเท่าใดแล้ว? ”
เมื่อจิ่วหรงเผชิญหน้ากับซูจิ่นซี ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความอ่อนโยนอย่างมาก “อืม! ”
“นานเท่าใดหรือ? ท่านคงมีชีวิตอยู่มานานมากแล้วกระมัง? ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า ในโลกนี้มีวรยุทธ์ประเภทหนึ่ง หากฝึกฝนถึงขั้นสูงสุด คนจะมีอายุยืนยาว และสามารถมีชีวิตยืนยาวกว่าคนธรรมดาทั่วไป”
ซูจิ่นซีพูดพลางจ้องมองจิ่วหรงอย่างจริงจัง รอคอยคำตอบที่ต้องการจากสายตาของจิ่วหรง
ทว่าสุดท้าย นอกจากสายตาอ่อนโยนและเอาใจใส่แล้ว นางก็ไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
จิ่วหรงเพียงลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันหลังเดินไป และเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “หากไร้ซึ่งความรัก การมีอายุยืนยาวจะมีความหมายอันใด… ”
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจความหมายของจิ่วหรงนัก นางรู้สึกเพียงว่าจิ่วหรงที่อยู่เบื้องหน้านาง ให้ความรู้สึกราวกับไม่ใช่ความจริง
เสื้อคลุมอันสง่างาม ท่วงท่าสูงส่งดั่งเทพเซียน ราวกับไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์
จิ้งจอกน้อยหมอบอยู่ที่ไหล่ของจิ่วหรง มันหันไปทางซูจิ่นซีและร้อง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” อย่างต่อเนื่อง
เพียงชั่วพริบตา จิ่วหรงก็หายไปจากสายตาของนางแล้ว
แสงสว่างยามอาทิตย์อัสดง ส่องประกายระยิบระยับปกคลุมพื้นดิน โลหิตสีแดงสดเจิ่งนองไปทั่วสนามประลอง
ซูจิ่นซีรู้ว่าศิษย์ส่วนใหญ่ของสำนักโอสถสกุลจงยอมจำนน เหล่าองครักษ์ถูกจับกุม และคนของแคว้นไหวเจียงก็ล่าถอยกลับไปแล้ว ความโกลาหลที่เหลือสามารถส่งต่อให้ผู้อาวุโส ฮูหยินเฒ่าหาน และจงรุ่ยอัน
เมื่อ JX4 ส่งศีรษะของจงเนี่ยมา มู่หรงฉีที่อยู่ทางตำหนักฉินเจิ้งก็ดำเนินการได้อย่างราบรื่น
เวลานี้ สิ่งที่ซูจิ่นซีกังวลคือ กองทัพทหารสี่แสนนายที่อยู่นอกเมืองเย่หลิน แม้ทหารของมู่หรงฉีจะเผชิญหน้ากับพวกเขามาระยะหนึ่งแล้ว ทว่าจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเกินไป หากกองทัพสี่แสนนายบุกผ่านประตูเมืองเข้ามาได้ มันจะกลายเป็นหายนะของเมือง
เพราะฉะนั้น นางต้องแก้ปัญหาเรื่องกองทัพสี่แสนนายนี้อย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีรีบไปที่นอกเมืองเย่หลิน
ขณะนั้น มู่หรงฉีนำกองทัพยวี่หลินและองครักษ์เงาของจวนฉีอ๋องบางส่วนไปยังประตูเมือง
อย่างไรก็ตาม พวกเขานึกไม่ถึงว่าหลานอวี่และคนอื่นๆ ที่ล่าถอยไปนั้น กลับมาอยู่ที่ประตูเมือง พวกเขาสังหารทหารที่รักษาประตูเมือง และปล่อยให้กองทัพทหารสี่แสนนายเข้าเมืองมา
ขณะนี้ กองทัพทหารสี่แสนนายของสกุลจงซึ่งอยู่ภายใต้การนำของจงซูอี้ ต่างกรูเข้ามาในเมืองดั่งน้ำหลาก คนชรา เด็ก และสตรีที่อยู่ระหว่างทางล้วนถูกสังหารโดยไม่ละเว้น ถนนหนทางเจิ่งนองไปด้วยเลือด ยิ่งกว่าตำหนักฉินเจิ้งและสนามประลองของสกุลจงเสียอีก
เมื่อซูจิ่นซีและมู่หรงฉีไปถึง ถนนฉางอันที่อยู่ใกล้ประตูเมืองมากที่สุดก็นองไปด้วยเลือดราวกับแม่น้ำ ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยแขนขาและซากศพ
ประชาชนต่างพากันวิ่งหนีด้วยความตื่นตระหนก กองทัพของสกุลจงสังหารประชาชนอย่างไร้ความปรานี
ซูจิ่นซีเห็นเด็กและสตรีที่หนีไม่ทันถูกฟันด้วยกระบี่ยาวในมือของกองทัพสกุลจงจนเสียชีวิต นางกำหมัดแน่น ดวงตาแดงฉานดั่งเลือด
เหล่า JX ทั้งสี่มาพร้อมซูจิ่นซีเช่นกัน
“JX4 ไปแจ้งอู๋จุนและฮูหยินเตี๋ยเมิ่งที่สนามประลอง และไปแจ้งสำนักแพทย์สกุลจง หากไม่มีเรื่องอันใดก็ให้พวกเขารีบมาที่ประตูเมือง”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
JX4 รับคำสั่ง ก่อนจะรีบไปสำนักแพทย์สกุลจงอย่างรวดเร็ว
ซูจิ่นซีมาจากยุคปัจจุบัน ทั้งนางยังเป็นบุคลากรในสำนักแพทย์และเป็นทหารคนหนึ่ง ความเชื่อของนางคือ หน้าที่ของทหารคือการปกป้องประเทศและประชาชน อาวุธในมือทหารมีไว้เพื่อต่อต้านศัตรู
ทว่าเหล่าทหารของสกุลจงที่อยู่ตรงหน้า พวกเขาเป็นทหารเหมือนกัน ทว่าอาวุธที่อยู่ในมือของพวกเขากลับมุ่งสังหารประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่พวกเขาควรปกป้อง
“ไอ้พวกสัตว์นรก! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีใช้คำพูดเช่นนี้ด่าว่าผู้อื่น และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางโกรธมากถึงเพียงนี้ ซูจิ่นซีเหาะขึ้นไปกลางอากาศ และร่อนลงสู่สนามรบที่กำลังนองเลือดอย่างโหดร้าย
JX3 JX2 และ JX1 ต่างตามซูจิ่นซีเข้าสู่สนามรบ
ที่ถนนฉางอัน มู่หรงฉีนำกองทัพยวี่หลินเข้าสู้รบกับกองทหารของสกุลจง ผ่านถนนฉางอันไปคือถนนจูเชวี่ย เข้าไปด้านในสุด ผ่านถนนจงไหวก็จะเป็นใจกลางเมืองเย่หลิน หรือวังหลวง
ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาจะต้องขัดขวางกองทัพของสกุลจงไว้ที่ถนนฉางอัน
ทว่ากองทัพของสกุลจงมีจำนวนสี่แสนนาย พวกเขาจะขัดขวางได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหลานอวี่ จงซูอี้ และคนอื่นๆ อีก
อีกทั้ง ในสนามประลองของสกุลจงยังมียอดฝีมือจากแคว้นต่างๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขายังไม่กลับไป! แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลสำคัญของแคว้นต่างๆ ในอาณาจักรเทียนเหอ หากพวกเขาใช้โอกาสนี้แบ่งปันผลประโยชน์ เกรงว่าแคว้นหนานหลีอาจต้องถูกทำลายลงในวันนี้เป็นแน่
บนถนนฉางอัน ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยซากศพ ซูจิ่นซีถือกระบี่จื๋ออิ่งไว้ในมือ พลางกวัดแกว่งกระบี่ขึ้นลง และเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลังเล
ทว่าในใจของนางกลับเศร้าสลด
ในฐานะที่นางเป็นทหาร ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่านางหรอกว่าแว่นแคว้นต้องพยายามมากเพียงใด ในการฝึกฝนเหล่าทหาร แคว้นหนานหลีต้องใช้กำลังคนและเงินเป็นจำนวนมากเพื่อเลี้ยงดูทหารสี่แสนนาย ทว่าวันนี้ พวกเขากลับนำอาวุธจากแคว้นมาตุภูมิที่มอบให้พวกเขา สังหารประชาชนของแคว้นพวกเขาเอง ประชาชนที่พวกเขาควรปกป้องดูแล
เมื่อเห็นกองทัพยวี่หลินที่พยายามต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เห็นมู่หรงฉีกับJX และคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส กองทัพทหารของสกุลจงที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาเข้ามาในประตูเมืองและมุ่งสู่ถนนฉางอัน ทั้งยังมุ่งหน้าฝ่าเข้าไปในเมืองเย่หลิน ซูจิ่นซีพลันยกมืออย่างไม่ลังเล ในที่สุด นางก็เรียกสัตว์เทพกิเลนออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
หลังจากสัตว์เทพกิเลนออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้นก็แปลงเป็นร่างเดิมในพริบตา มันเหาะลงบนกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านอย่างสง่าผ่าเผย
“สัตว์เทพกิเลน วันนี้ข้าขอดูฝีมือเจ้าแล้ว”
สัตว์เทพกิเลนกระทืบเท้าหน้าของมันลงบนพื้นสองครั้ง และคำรามเสียงต่ำตอบรับคำสั่งของซูจิ่นซี ก่อนจะหันตัวไปพ่นเปลวเพลิงกิเลนไปทางกองทัพของสกุลจงที่อยู่ด้านหน้าประตูเมือง
ทันใดนั้น เปลวเพลิงเหมันต์สีน้ำเงินก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ท่ามกลางลำแสงนั้น เสียงอาวุธแตกหัก เสียงร่างกายไหม้เกรียม เสียงตะโกน และเสียงกรีดร้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ซูจิ่นซียืนมองเลือดที่ไหลนองบนถนนฉางอัน พลางหลับตาลงด้วยความอ่อนแรง และปิดอาคมกำไลปี่อั้นอย่างเชื่องช้า
หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย ซูจิ่นซีจะไม่ใช้วิธีการทำลายล้างที่โหดเหี้ยมของสัตว์เทพกิเลนเช่นนี้
คนของสกุลจงต่างรู้ดีถึงพลังอำนาจที่น่าเกรงขามของสัตว์เทพกิเลน พวกเขาล้วนหวาดกลัวเปลวเพลิงของสัตว์เทพกิเลน และพากันตื่นตระหนก เมื่อเห็นสัตว์เทพกิเลนปรากฏตัวบนกำแพงก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก
กำลังทหารไม่มาก แต่ใช้กลยุทธ์
ไม่ว่าสกุลจงจะมีกำลังทหารมากเพียงใด ทว่าตอนนี้ พวกเขาต่างตกอยู่ในความตื่นตระหนก ราวกับนกที่กำลังหวาดกลัว
สัตว์เทพกิเลนรับคำสั่งของซูจิ่นซี ขณะที่พ่นเปลวเพลิงกิเลนลูกที่สองนั้น มันไม่ได้เล็งไปที่เหล่ากองทัพของสกุลจง แต่กลับเล็งไปบนท้องฟ้าสีครามที่อยู่ไกลๆ
แม้เปลวเพลิงกิเลนลูกที่สองจะไม่ทำให้ผู้ใดบาดเจ็บ ทว่าทำให้กองกำลังทหารของสกุลจงจำนวนมากเสียสติ เมื่อทุกคนเห็นเปลวเพลิงกิเลน พวกเขาต่างทิ้งอาวุธในมือ ก่อนจะวิ่งหนีอย่างบ้าคลั่ง พลางตะโกนขอความช่วยเหลือ
ท่ามกลางความตื่นตระหนก หลังจากคนจำนวนมากล้มลง ก็ถูกทหารที่ตามมาเหยียบย่ำจนไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก ท่ามกลางความโกลาหล มู่หรงฉีนำกองทัพยวี่หลินขับไล่กองทัพทหารของสกุลจงทั้งหมดออกนอกประตูเมือง
ภายใต้ความชุลมุน ทันใดนั้น ใครบางคนก็ตะโกนขึ้นว่า “โอ้สวรรค์ นั่นคือสิ่งใด? ”
“เหมือน… จะเป็นเมฆดำ… ”
“เหมือน… เหมือนปีศาจ… ”
ไกลออกไป ทรายสีดำลอยอยู่บนท้องฟ้าราวกับเกลียวคลื่นสีดำที่พัดโหมกระหน่ำ ทั้งยังดูเหมือนเมฆสีดำที่ม้วนตัวจากขอบฟ้าและเคลื่อนที่ใกล้เข้ามา
กองทัพทหารของสกุลจงที่วิ่งหนีไปทั่วสารทิศ เมื่อพวกเขาเห็น ‘เมฆสีดำ’ ก็ยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้น ทั้งยังหวาดกลัวมากกว่าเปลวเพลิงกิเลนของสัตว์เทพกิเลนเสียอีก
เมื่อ ‘เมฆดำ’ ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ ทันใดนั้น ใครบางคนก็ตะโกนออกมาว่า “โอ้สวรรค์ นั่นคือขุนพลผีแห่งแคว้นจงหนิง… ”
“อ๋า… เป็นขุนพลผี ขุนพลผีมาแล้ว โยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิงนำขุนพลผีมาทำลายเมืองเย่หลินแล้ว หมดกัน… แคว้นหนานหลีจบสิ้นแล้ว… ”
เสียงร้องตะโกนทางด้านนอก จากประตูเมืองแห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง แทบจะทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือน ซูจิ่นซีที่ยืนมองทะเลเลือดอยู่บนถนนฉางอันล้วนได้ยินอย่างชัดเจน
ขณะนั้นเอง แววตาที่หมองหม่นพลันสว่างไสว ในความสว่างนั้น มีทั้งความตกใจและความสับสน ซูจิ่นซีค่อยๆ หันหลังกลับไป
บนกำแพงเมือง สัตว์เทพกิเลนแปลงกายเป็นสัตว์เลี้ยงน่ารักในทันที มันรีบวิ่งไปหาซูจิ่นซี ซูจิ่นซียังไม่ทันทำสิ่งใด มันก็เข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น และตกลงบนแท่นบูชาด้วยร่างกายสั่นเทา
JX กล่าวกับซูจิ่นซีด้วยเสียงอันดัง “พระชายา ท่านอ๋องมาแล้ว! ท่านอ๋องนำขุนพลผีมาช่วยพวกเราแล้วพ่ะย่ะค่ะ”