สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 640 มีเรื่องสำคัญที่ต้องประกาศ
เป่ยถางเย่นอนอ่อนแรงอยู่บนเก้าอี้หิน พลางแย้มยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรง “พระชายาโยวอ๋อง ท่านช่างละโมบเสียจริง ข้าได้พูดไปแล้ว คนในเชื้อพระวงศ์แคว้นเป่ยอี้ที่มีความสามารถพิเศษและล้ำค่านี้ ในหนึ่งชีวิตของคนผู้นั้น สามารถใช้วิชาลับได้เพียงสามครั้งเท่านั้น ข้าเหลือครั้งสุดท้ายแล้ว โอกาสที่เหลือเพียงครั้งเดียวนี้ ท่านยังจะฉกไปอีกหรือ? ”
นับเป็นการบังคับกันอย่างไม่เต็มใจ
ทว่าซูจิ่นซียังคงยืนกราน “ไม่ว่าท่านอ๋องน้อยมีข้อเสนออันใด ข้าจะตอบรับข้อเสนอของท่านทั้งหมด”
“ไม่เอาแล้ว! ” เป่ยถางเย่โบกมือ “ข้าไม่ต้องการสิ่งใด นี่เป็นโอกาสเดียวของการใช้วิชาเวทลึกลับนี้ และข้าต้องการเก็บรักษาไว้เพื่อทำการใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าใช้วิชาเวทลึกลับสองครั้งติดต่อกัน รอจนร่างกายฟื้นฟูและสามารถใช้วิชาเวทครั้งต่อไปได้ ยังต้องรอเวลาถึงสิบปี เกรงว่าพระชายาโยวอ๋องคงรอจนถึงเวลานั้นไม่ไหว”
สิบปี…
นานถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ซูจิ่นซีรอไม่ไหวจริงๆ
ดูแล้ว หากต้องการทราบเรื่องราวต่อจากนั้น คงทำได้เพียงรอให้อาคมกำไลปี่อั้นเพิ่มระดับอีกครั้ง
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะยกแขนเสื้อด้านขวายื่นไปทางด้านหน้าเป่ยถางเย่ “ท่านอ๋องน้อยเป็นเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นเป่ยอี้ ทั้งยังมีความรู้รอบด้าน ไม่ทราบว่าท่านอ๋องน้อยเคยเห็นกำไลวงนี้หรือไม่? ท่านรู้ที่มาของมันหรือไม่? ทำอย่างไรจึงจะเพิ่มระดับของกำไลวงนี้ได้? ”
เป่ยถางเย่มองอยู่นาน สุดท้ายก็ส่ายศีรษะและพูดว่า “ข้ามองไม่ออกเช่นกัน มันเป็นเพียงกำไลรูปแบบหนึ่งเท่านั้น คงเป็นสิ่งของในสมัยต้าฉิน”
เรื่องนี้ ซูจิ่นซีรู้อยู่ก่อนแล้ว
อาคมกำไลปี่อั้นถูกประมูลมาจากตลาดมืด ตอนที่ประมูลมาไดเ เถ้าแก่ที่ตลาดมืดบอกไว้ว่า กำไลวงนี้มาจากวังหลังของต้าฉิน
เป่ยถางเย่มองกำไลบนข้อมือของซูจิ่นซี พลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายังพูดเตือนไปว่า “พระชายาโยวอ๋อง หากใส่ติดตัวแล้วสามารถฝึกฝนกำไลชนิดนี้ได้ ก็เท่ากับว่าได้ทำสัญญาเป็นตายกับเจ้าของ ไม่สามารถถอดได้ตลอดชีวิต นอกจากเจ้าของจะตาย อย่างไรก็ตาม มีสถานการณ์หนึ่งที่สามารถถอดกำไลออกมาได้ นั่นคือการได้พบผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงกว่าท่าน ทว่าหากถอดกำไลวงนี้แล้ว ท่านจะต้องตาย พระชายาโยวอ๋อง ท่านต้องระวังให้มาก”
สิ่งเหล่านี้ ตอนที่ได้รับกำไลมา ซูจิ่นซีก็เคยได้ยินเถ้าแก่ในตลาดมืดบอกไว้เช่นกัน เพียงแต่นางไม่เคยใส่ใจ
ในเวลานี้ ถือว่าเป่ยถางเย่ตักเตือนเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม มองดูแล้วก็เป็นเพียงกำไลธรรมดาเท่านั้น นางไม่ได้โอ้อวด เช่นนั้นจะมีผู้ใดรู้ถึงความพิเศษของกำไลวงนี้?
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้าที่นางไม่มีวรยุทธ์ ก็ไม่มีผู้ใดนึกถึงกำไลวงนี้ ตอนนี้นางมีวรยุทธ์แล้ว ผู้มีวรยุทธ์ทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หรือว่านางจะคุ้มครองกำไลวงนี้ไม่ได้เชียวหรือ?
หลังจากกลับไป ซูจิ่นซีได้นำพิณเฟิ่งหวงออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น และสั่งให้ JX3 นำไปมอบให้เป่ยถางเย่ที่เรือนพักของเขา
แท้จริงแล้ว พิณเฟิ่งหวงอยู่กับซูจิ่นซีมาโดยตลอด ทว่าสาเหตุที่ซูจิ่นซีไม่นำพิณเฟิ่งหวงออกมาให้เป่ยถางเย่ตอนอยู่ที่เรือนพัก ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เป่ยถางเย่ล่วงรู้ถึงการใช้งานที่แท้จริงของอาคมกำไลปี่อั้น
เรื่องบางอย่าง คนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี
ขณะที่ซูจิ่นซีเดินเข้ามาในห้อง เยี่ยโยวเหยาก็ตรวจเอกสารราชสำนักเสร็จพอดี
เมื่อเห็นเยี่ยโยวเหยา ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่กับเป่ยถางเย่ก็ปรากฏในความคิดของซูจิ่นซี
ความโศกเศร้าภายในใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า ซูจิ่นซีต้องการปิดบัง ทว่าไม่อาจปกปิดไว้ได้
เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร
เขายื่นมือไปทางซูจิ่นซี “จิ่นซี มานี่! ”
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปหาเยี่ยโยวเหยาทีละก้าว ระยะทางเพียงสั้นๆ ทว่าซูจิ่นซีกลับรู้สึกว่าเป็นการเดินทางอันแสนยาวนาน
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีและรั้งนางให้นั่งลงบนตัก พลางลูบไล้นิ้วมือเรียวยาวของนาง
“เป็นอย่างไรบ้าง? พบเรื่องอันใดมาหรือ? ”
ซูจิ่นซีจ้องมองดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยา นางรู้สึกเพียงความขมขื่นและเจ็บปวดอย่างมาก หากนางยังมองต่อไป น้ำตาต้องไหลออกมาเป็นแน่
เยี่ยโยวเหยาใช้นิ้วมือเชยคางของซูจิ่นซีเล็กน้อย ก่อนจะบรรจงจุมพิตริมฝีปากของนางอย่างนุ่มนวลราวกับขนนก
น้ำเสียงของซูจิ่นซีฟังดูเคร่งเครียด “เยี่ยโยวเหยา ท่านว่าชีวิตมนุษย์มีอดีตชาติและการกลับชาติมาเกิดจริงหรือไม่? ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใด
ซูจิ่นซียังพูดอีกว่า “อดีตชาติของข้ากับท่านจะเป็นอย่างไร? หากอดีตชาติมีจริง ท่านอ๋องเป็นใคร และจิ่นซีเป็นใครหรือเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าแววตากลับแน่วแน่
“ข้าไม่เชื่อเรื่องอดีตชาติ ข้าเชื่อเพียงชาตินี้ เรื่องในชาติภพนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ซูจิ่นซี เจ้าเชื่อข้าเถิด”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดวงตาทอประกายความห่วงใย
“ท่านอ๋อง จิ่นซีเชื่อท่านเพคะ! ”
“ซูจิ่นซี เจ้าเป็นอันใดไป? ” เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเอ่ยถาม
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้าโดยไม่พูดสิ่งใด
ท่าทางเช่นนี้ของซูจิ่นซี หากเป็นผู้อื่นคงคิดว่านางกำลังคับข้องใจสิ่งใดอยู่
ทว่าเยี่ยโยวเหยาคือผู้ใด? ความคิดของเขาลึกซึ้ง ทั้งยังมีไหวพริบเก่งด้านกลยุทธ์ เขาจะไม่เข้าใจความผิดปกติของซูจิ่นซีได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเข้าใจคนเผ่าเม้ยในทุกด้าน และเคยอ่าน ‘ตำนานเผ่าเม้ย’ มาอย่างละเอียด จึงเข้าใจความสามารถของคนเผ่าเม้ยที่ต่างจากคนทั่วไปเป็นอย่างดี
“ซูจิ่นซี เจ้าคิดสิ่งใดอยู่ใช่หรือไม่ หรือว่ามองเห็นสิ่งใด? ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าตนเองไม่อาจปิดบังเยี่ยโยวเหยาได้ และไม่อาจรอดพ้นสายตาของเยี่ยโยวเหยา
ทว่ามีบางเรื่องที่นางไม่รู้ว่าควรบอกเยี่ยโยวเหยาอย่างไร เรื่องราวซับซ้อนเหล่านั้น กระทั่งตัวนางเองยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดอันใดขึ้น นางไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นพูดกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไร?
ขณะที่เยี่ยโยวเหยาส่งสายตาถามไถ่ ซูจิ่นซีกลับกอดคอเยี่ยโยวเหยาแน่น นางวางศีรษะลงบนไหล่ของเขา และหลับตาลงอย่างสงบ
เรื่องที่ซูจิ่นซีไม่ต้องการพูด เยี่ยโยวเหยาไม่อาจบีบบังคับถามนางได้
เขาทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อนนางอย่างเงียบงัน
แสงระยิบระยับสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ลำแสงส่องกระทบพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นหมึกที่อยู่บนโต๊ะ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้นว่า “ซูจิ่นซี เจ้าฟังข้า! ไม่ว่าเจ้าจะคิดสิ่งใด หรือเห็นสิ่งใดก็ตาม พรหมลิขิตของเจ้ากับข้าในชาตินี้ หาใช่ผลจากอดีตชาติ และไม่ใช่ชะตาฟ้าลิขิต ทว่าเป็นคนที่สร้างขึ้นมา เป็นข้าที่มีความแน่วแน่และพยายามอย่างไม่ยอมแพ้ ข้าไม่เชื่อลิขิตฟ้าดิน ข้าเชื่อเพียงตัวข้าเอง”
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีผล็อยหลับบนไหล่ของเขาไปก่อนแล้ว นางจึงไม่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น
……
ไม่กี่วันต่อมา จู่ๆ วังหลวงก็ส่งเทียบเชิญมาให้เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี เพื่อให้พวกเขาไปร่วมงานพิธีหวนคืนสู่บัลลังก์อีกครั้งของมู่หรงอวิ๋นไห่
เดิมที ซูจิ่นซีไม่ต้องการไปร่วมงาน ทว่าเทียบเชิญนี้ มู่หรงฉีเขียนด้วยตนเอง ซูจิ่นซีให้เกียรติมู่หรงฉี จึงตอบตกลง
แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยาต้องตามซูจิ่นซีไปด้วย
ขั้นตอนอันยิ่งใหญ่ของพิธีหวนคืนสู่บัลลังก์ ทำให้วุ่นวายตลอดทั้งวัน ทั้งกลางคืนยังมีการจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักฉางเล่อ และเชิญทุกคนเข้าร่วมงาน
เดิมทีซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาต้องการกลับโดยไม่ไปร่วมงาน ทว่ามู่หรงฉีส่งจดหมายเชิญมาด้วยตนเองอีกครั้ง ทั้งยังอยู่ต่อหน้าขุนนางจำนวนมาก
ในที่สุด ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาจึงต้องไปร่วมงาน
งานเลี้ยงหรูหรา สำรับอาหารและสุราชั้นเลิศ หญิงงามขับร้องร่ายรำ ซูจิ่นซีไม่สนใจแม้แต่น้อย ตลอดงานเลี้ยง นางไม่มีอารมณ์ความรู้สึกตื่นตาตื่นใจใดๆ และเยี่ยโยวเหยาก็ไม่ชอบและไม่สนใจงานเหล่านี้เช่นกัน
เหตุผลที่เขามาร่วมงานในครั้งนี้ เพราะมาเป็นเพื่อนซูจิ่นซี
ที่นี่คือแคว้นหนานหลี ไม่ใช่แคว้นจงหนิง ทั้งสองคนจึงต้องให้เกียรติมู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉี พวกเขาทำได้เพียงอดทน และหวังว่างานเลี้ยงจะสิ้นสุดในเวลาอันรวดเร็ว
ทว่าหลังจากดื่มสุราไปสามจอก ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ยืนขึ้นพร้อมยกจอกสุราที่อยู่ในมือ
“ทุกท่าน วันนี้ข้าดีใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะหวนคืนสู่บัลลังก์อีกครั้งแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าขอแบ่งปันความสุขครั้งนี้ร่วมกับทุกท่าน”
เขาพูดพลางมองไปทางซูจิ่นซี
ทันใดนั้น ภายในใจของซูจิ่นซีพลันตื่นตระหนก นางรู้สึกว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่