สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 642 ผู้ใดสามารถชักกระบี่ออกได้
หลังจากเป่ยถางเย่พูดจบ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพูดคุยกันด้วยเสียงอันดังราวกับหม้อน้ำเดือด
แววตาของมู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉีแสดงออกถึงความผิดปกติ
ทันใดนั้น แม่ทัพอวี่เหวินแห่งราชสำนักก็ลุกขึ้นยืน และพูดเสียงแข็งกร้าว “หึ เป็นเพียงกระบี่ล้ำค่าเล่มหนึ่งไม่ใช่หรือ? ข้าต่อสู้อยู่ในสนามรบมาหลายปี มีกระบี่ล้ำค่าใดที่ไม่เคยเห็นบ้าง ไม่เคยมีกระบี่ล้ำค่าใดที่ข้าดึงออกไม่ได้! ”
เขาพูดพลางพุ่งเข้าไปดึงกระบี่
ทว่าองครักษ์ของเป่ยถางเย่กลับเข้ามาขัดขวางแม่ทัพอวี่เหวิน
แม่ทัพอวี่เหวินดื่มสุราไปไม่น้อย เวลานี้จึงเมามายอย่างมาก ผิวแก้มแดงก่ำ กล้ามเนื้อที่มุมปากกระตุกอย่างต่อเนื่อง เขามองเป่ยถางเย่ด้วยใบหน้าท้าทาย
เป่ยถางเย่ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย และยกมือขึ้น “ให้แม่ทัพอวี่เหวินลองดูเถิด! ”
องครักษ์จึงเปิดทางให้
มู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉีมีความรู้สึกไม่ดีนัก เดิมทีพวกเขาคิดจะห้ามปราม ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว
แม่ทัพอวี่เหวินยื่นมือไปหยิบกระบี่ในกล่องอย่างดุดัน เขาหยิบกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาอย่างเบามือ ทว่าเป็นเพราะแรงเฉื่อยที่เกิดขึ้นก่อนหน้า ทำให้แม่ทัพอวี่เหวินซวนเซถอยหลังไปสองก้าว
เมื่อยืนได้มั่นคงแล้ว ใบหน้าของเขาพลันเผยให้เห็นถึงความพยายามอย่างหนัก
กระบี่ทั่วไปมีน้ำหนักประมาณสิบชั่ง ดังนั้น เมื่อครู่เขาจึงใช้กำลังยกกระบี่เฟิ่งอวี่เหมือนกับยกกระบี่ทั่วไป กลับไม่คิดเลยว่า กระบี่เฟิ่งอวี่จะมีน้ำหนักเบาเช่นนี้
“ฮ่า ฮ่า ท่านอ๋องน้อยเย่ กระหม่อมเห็นว่ากระบี่เล่มนี้ของพระองค์หาได้เป็นกระบี่ล้ำค่าอันใด ทว่าเป็นของเล่นสำหรับเด็กเท่านั้นกระมัง? ”
เขาเป็นนักสะสมกระบี่ล้ำค่า! ของเล่นเช่นนี้ยังกล้าเรียกว่ากระบี่ล้ำค่าอีกหรือ? ช่างน่าขันเกินไปแล้ว!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” หลังสิ้นเสียงพูดของแม่ทัพอวี่เหวิน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันหัวเราะไปด้วย
ทว่าสีหน้าของเป่ยถางเย่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งยังไม่มีท่าทีอึดอัดแม้แต่น้อย ท่ามกลางการเยาะเย้ยของทุกคน สุดท้าย เป่ยถางเย่ยังคงยกยิ้มแผ่วเบา
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของเป่ยถางเย่ มู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉียิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทุกคน แม่ทัพอวี่เหวินจับด้ามกระบี่และพยายามดึง… ทว่าเขาไม่สามารถดึงออกมาได้!
สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป เขาใช้แรงอีกหลายส่วน และลองดึงอีกครั้ง… แต่ยังไม่สามารถดึงออกมาได้!
ลองดึงอีกครั้ง ก็ยังไม่สามารถดึงออกมาได้เช่นเดิม!
คราวนี้ แม่ทัพอวี่เหวินไม่กล้าสบประมาทอีกแล้ว ทุกคนไม่กล้าหัวเราะเยาะ ตำหนักฉางเล่อตกอยู่ในความเงียบสงบ แม่ทัพอวี่เหวินเริ่มสร่างเมา เขาใช้กำลังแทบทั้งหมดในร่างกายเพื่อดึงกระบี่ที่อยู่ในฝักออกมา ทว่าผลลัพธ์ยังเป็นเช่นเดิม เขาไม่อาจดึงออกมาได้
ดึง ดึง ดึง ดึง ดึง…
แม่ทัพอวี่เหวินเปลี่ยนท่าดึงกระบี่อยู่หลายท่า ทั้งยังทดลองดึงกระบี่หลายครั้ง อย่างไรก็ตาม ผลคือไม่สามารถดึงกระบี่ออกจากฝักได้ สุดท้าย เหงื่อของเขาก็ไหลท่วมตัว ผิวแก้มแดงก่ำ ทั้งยังนั่งลงบนพื้นด้วยความหมดหวัง
เป่ยถางเย่ดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกจากมือของแม่ทัพอวี่เหวินอย่างแผ่วเบา และนำมาวางไว้ในกล่องผ้า “แม่ทัพอวี่เหวิน ท่านดึงกระบี่ไม่ออก! กระบี่นี้เป็นของเล่นที่เด็กไว้เล่นกัน จะอยู่ในสายตาของแม่ทัพอวี่เหวินได้อย่างไร! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” เสียงหัวเราะดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มคน
แน่นอนว่าผู้ที่หัวเราะไม่ใช่ชาวแคว้นหนานหลีอย่างแน่นอน แม่ทัพอวี่เหวินทำให้แคว้นหนานหลีอับอายขายหน้าถึงเพียงนั้น พระพักตร์ของฝ่าบาทและฉีอ๋องพลันเคร่งขรึม หากพวกเขายังกล้าหัวเราะ คงเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการมีชีวิตอยู่แล้ว
เป่ยถางเย่มองมู่หรงอวิ๋นไห่ด้วยแววตายั่วยุ
หากยอมแพ้ในตอนนี้ คงไม่มีผู้ใดดึงกระบี่ออกมาได้ แสดงว่าคนในแคว้นหนานหลีไร้ความสามารถ กระทั่งมู่หรงฉีและมู่หรงอวิ๋นไห่ก็ไร้ความสามารถเช่นกัน ทว่าหากดึงกระบี่ได้ก็คงจะดี หากดึงไม่ได้ก็เป็นข้ออ้างให้เป่ยถางเย่เยาะเย้ยดูถูกแคว้นหนานหลี
หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ มู่หรงอวิ๋นไห่จึงออกคำสั่งให้บรรดาสตรีที่มาร่วมงานในวันนี้ ทั้งยังไม่ได้ออกเรือนไปร่วมดึงกระบี่ หากดึงออกมาได้ก็จะให้อภิเษกสมรสกับฉีอ๋อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ มู่หรงฉียังสามารถพูดอันใดได้อีก? คงต้องยอมปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของมู่หรงอวิ๋นไห่ ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดดึงกระบี่เล่มนี้ออกมาได้!
ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ล้วนเป็นผู้ที่มีหน้ามีตามากที่สุดในเมืองหลวงแคว้นหนานหลี มีหลายคนที่ชื่นชอบมู่หรงฉีมานาน และต้องการอภิเษกสมรสกับมู่หรงฉี วันนี้สบโอกาส พวกนางย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม แต่ละคนต่างก้าวออกมาด้วยความยินดี สุดท้ายก็กลับไปพร้อมกับความผิดหวัง ไม่มีผู้ใดดึงกระบี่ออกมาได้
ในที่สุด เมื่อทุกคนทดลองหมดแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าสีหน้าของมู่หรงฉีจะบูดบึ้งเพียงใด น้ำเสียงของเขาดูราวกับไม่พอใจอย่างมาก “ท่านอ๋องน้อยเย่ ความปรารถนาดีของท่าน ดูเหมือนวันนี้ แคว้นหนานหลีของข้าคงไร้วาสนาแล้ว! ”
เป่ยถางเย่กวาดสายตามองใบหน้าบรรดาฮูหยินที่อยู่ในเหตุการณ์ “ฝ่าบาทแคว้นหนานหลี พระองค์ตรัสออกมาในยามนี้ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ? แคว้นของพระองค์ยังมีฮูหยินจำนวนมากที่ยังไม่ได้ทดลอง! ”
น่าขัน ต่อให้ฮูหยินเหล่านั้นต้องการทดลอง ทว่าผู้ใดจะกล้า?
เนื่องจากเป่ยถางเย่เคยพูดไว้ว่า กระบี่เฟิ่งอวี่นี้ มีเพียงผู้ที่มีดวงชะตาเป็นฮองเฮาของแผ่นดินเท่านั้น จึงจะสามารถดึงกระบี่ออกมาได้
หากดึงออกมาไม่ได้ก็ดี ทว่าหากพวกนางดึงออกมาได้ด้วยความบังเอิญ เช่นนั้น หมายความว่าคุณชายหรือท่านอ๋องที่อยู่ในสกุลนั้น นับเป็นผู้ครอบครองใต้หล้ามิใช่หรือ?
ไม่ต้องพูดถึงตำนานของกระบี่เฟิ่งอวี่แห่งแคว้นเป่ยอี้ว่าเป็นความจริงหรือเท็จ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น คงมีข้อหากบฏหรือได้รับโทษข้อหามีจิตใจทะเยอทะยานเป็นแน่
มู่หรงอวิ๋นไห่เอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงเย็นชา “มีผู้ใดยินดีขึ้นมาทดลองหรือไม่? ”
เหล่าฮูหยินต่างพากันก้มศีรษะ ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้า และไม่มีผู้ใดกล้าขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงอวิ๋นไห่จึงมองไปทางเป่ยถางเย่ด้วยท่าทางที่ว่า ‘เจ้าก็เห็นแล้ว’
เดิมที เรื่องนี้ควรจบเพียงเท่านี้ แม้แคว้นหนานหลีจะไม่ได้ครอบครองกระบี่เฟิ่งอวี่ แม้แคว้นหนานหลีต้องยอมรับว่าไม่มีผู้ใดทำได้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงกระบี่เล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่อาจตัดสินสิ่งใดได้ ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิด ทันใดนั้น เป่ยถางเย่ก็มองไปที่ซูจิ่นซี
“ฉางอันกงจู่ ท่านไม่คิดจะทดลองดูหรือ? ”
ทุกคนพลันนึกขึ้นมาได้ ใช่แล้ว! ฉางอันกงจู่ลองดูเถิด! แม้จะดึงกระบี่ออกมาไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด อย่างไรเสีย ด้วยฐานะที่สูงศักดิ์ของนาง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใด หรือว่าหากดึงออกมาได้ ก็คงไม่มีความผิดอันใดเช่นกัน เนื่องจากบุคคลที่อยู่ข้างหลังของนางคือโยวอ๋อง!
โยวอ๋องเป็นผู้ใด?
ในอาณาจักรเทียนเหอ มีผู้ใดกล้าต่อกรกับโยวอ๋องหรือ? มีผู้ใดกล้าพูดสิ่งใดเกี่ยวกับโยวอ๋องหรือ?
ทุกคนต่างหันไปมองซูจิ่นซี รวมทั้งมู่หรงอวิ๋นไห่และมู่หรงฉีด้วย
“ใช่แล้ว พระชายาโยวอ๋อง พระองค์ทรงลองดูสักครั้งเถิด! ”
“ใช่แล้ว พระชายาโยวอ๋อง! ”
“ฉางอันกงจู่ พระองค์ทรงลองดูเถิด! ฝ่าบาทได้แต่งตั้งพระองค์แล้ว นับว่าพระองค์เป็นคนของแคว้นหนานหลี ทรงลองดูเถิด! ”
ไม่รู้เพราะเหตุใด หลายคนต่างรู้สึกว่า ซูจิ่นซีอาจดึงกระบี่ออกมาได้
ทว่าซูจิ่นซีทำเพียงนั่งเงียบ ไม่พูดสิ่งใด และไม่มีการเคลื่อนไหว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นไห่ก็เอ่ยขึ้นว่า “จิ่นซี เจ้าลองดูเสียหน่อยเป็นไร? ” ซูจิ่นซีไม่ได้ตอบรับมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่านางมองไปทางเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้าในแบบที่มีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวที่เข้าใจ ซูจิ่นซีจึงยืนขึ้น และเดินไปทางกระบี่เฟิ่งอวี่อย่างเชื่องช้า
นางหาได้เกรงกลัวเยี่ยโยวเหยา ทว่าเรื่องเช่นนี้ นางต้องปรึกษากับเยี่ยโยวเหยาเสียก่อน อย่างไรก็ตาม คำเรียกขานว่าดวงชะตาฮองเฮาของแผ่นดินก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก
ซูจิ่นซีเดินไปด้านหน้ากระบี่เฟิ่งอวี่ และค่อยๆ ยื่นมือออกไปยกกระบี่ออกมาจากกล่องผ้า
กระบี่ข้างกายสีเขียวอ่อน เปล่งประกายพลังอันแข็งแกร่ง ราวกับแสดงถึงลมหายใจของราชา
ซูจิ่นซีมองไปยังกระบี่นั้นด้วยแววตาหนักแน่นเฉียบคม นางค่อยๆ กุมด้ามจับกระบี่