สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 643 ผู้หยั่งรู้และเส้นทางลับ
ทันทีที่สัมผัสด้ามจับกระบี่ ซูจิ่นซีก็รู้สึกว่ากระบี่เฟิ่งอวี่สั่นเทาเล็กน้อย พลังที่แข็งแกร่งค่อยๆ เพิ่มขึ้นที่ปลายกระบี่
นางค่อยๆ ดึงด้ามกระบี่ออก ไม่มีผู้ใดคาดคิดเลยว่ากระบี่จะขยับ ทั้งบริเวณฝักกระบี่ยังปรากฏคมกระบี่ที่เปล่งประกายสีขาวราวกับหิมะ
แสงนั้นทำให้ซูจิ่นซีต้องหลับตา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันตกตะลึง หลายคนถึงกับลุกยืนขึ้นในทันที บรรยากาศทั้งงานเลี้ยงพลันเงียบสงัด ผู้คนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
ซูจิ่นซีดึงกระบี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อแสงสว่างเพิ่มมากขึ้น กระบี่สีขาวราวกับหิมะก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน
“ดึงออกมาได้แล้ว ฉางอันกงจู่ดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้แล้ว! ”
“ฉางอันกงจู่ยอดเยี่ยมที่สุด! ”
“ฉางอันกงจู่เป็นผู้ที่มีดวงชะตาตรงกับกระบี่เฟิ่งอวี่! ”
“ฉางอันกงจู่สามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ได้ แสดงว่านางเป็นผู้มีดวงชะตาฮองเฮาแห่งแผ่นดินหรือ? เช่นนั้น โยวอ๋องก็เป็น… ”
บุรุษผู้นั้นก็หยุดชะงัก ทว่าเสียงนั้นดังออกไปแล้ว ทุกคนล้วนได้ยินอย่างชัดเจน สายตาของพวกเขาต่างมองไปที่เยี่ยโยวเหยา
ความเคารพนับถือ ชื่นชม ตื่นตระหนก ทั้งยังมีความเกลียดชังและความริษยา…
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสายตาแบบใด เยี่ยโยวเหยาก็รับได้
แท้จริงแล้ว ตอนที่ซูจิ่นซีเดินไปยังกระบี่เฟิ่งอวี่ เขามีความรู้สึกว่า ซูจิ่นซีต้องดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้อย่างแน่นอน
ไม่ใช่เพราะเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพราะตำนานหรือโชคชะตาฟ้าลิขิต แต่เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตนเอง และยังเชื่อมั่นในตัวของซูจิ่นซี
เขาเชื่อว่าในช่วงชีวิตของเขา เขาสามารถปกครองใต้หล้าได้อย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยเหลือประชาชนที่ตกทุกข์ได้ยาก ขณะเดียวกัน เขาก็เชื่อมั่นในซูจิ่นซี นางคือผู้เดียวที่สามารถยืนเคียงข้างเขา และทำให้งานใหญ่ประสบความสำเร็จได้
เขามองไม่ผิดจริงๆ
ทุกคนมองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาสับสน แต่เยี่ยโยวเหยากลับมองสตรีผู้นั้นด้วยสายตาชื่นชม
แววตาของเป่ยถางเย่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะเป็นนางจริงๆ ซูจิ่นซี!
โอ้! ไม่ ควรจะเป็นมู่หรงจิ่นซี
เป่ยถางเย่ปิดบังแววตาสับสนของตน ก่อนจะหันไปมองมู่หรงอวิ๋นไห่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
“ยินดีกับฝ่าบาทแห่งแคว้นหนานหลี ยินดีกับแคว้นหนานหลี เป่ยถางเย่ทำตามที่ตกลงไว้ กระหม่อมขอมอบกระบี่เฟิ่งอวี่ให้แคว้นหนานหลี ขอให้ราชวงศ์แห่งแคว้นหนานหลีสงบสุข! ”
ทุกคนกลับมาได้สติหลังจากตกตะลึง ทว่าพวกเขายังมองกระบี่เฟิ่งอวี่ที่เปล่งประกายอยู่ในมือของสตรีนางนั้น โดยไม่อาจละสายตาได้เป็นเวลานาน
ราวกับแสงที่ทอประกายจากกระบี่ คือแสงที่เปล่งออกมาจากร่างของสตรีผู้นั้น
มู่หรงอวิ๋นไห่มองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
เป็นดั่งที่คิดไว้จริงๆ สมกับเป็นพระธิดาของมู่หรงอวิ๋นไห่
“ในเมื่อจิ่นซีสามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาได้ ข้าก็จะมอบกระบี่เฟิ่งอวี่ให้นาง นางเป็นแก้วตาดวงใจของข้า ตั้งแต่รู้จักจิ่นซี ข้ายังไม่เคยมอบของขวัญอันใดให้นางมาก่อน กระบี่เฟิ่งอวี่เล่มนี้ ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ข้ามอบให้นาง! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ทว่าหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ทั่วทั้งแคว้นหนานหลีนี้ มีผู้ใดที่สามารถดึงกระบี่เฟิ่งอวี่ได้อีก? มีผู้ใดที่สามารถใช้กระบี่เฟิ่งอวี่ได้อีก?
ต่อให้ล้ำค่ายิ่งกว่านี้ ทว่าหากปล่อยไว้ไม่นำมาใช้ คงทำได้เพียงปิดผนึกอยู่ในกล่องตลอดกาล ไม่ต่างอันใดกับเศษเหล็กและเศษทองแดง
ท่ามกลางความยินดี ซูจิ่นซีก้าวไปข้างหน้า “จิ่นซีขอบพระทัยฝ่าบาท”
มู่หรงฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย “จิ่นซี ยังไม่เปลี่ยนคำพูดอีก”
ซูจิ่นซีเงยหน้า ดวงตาของมู่หรงอวิ๋นไห่ทอประกาย เขาคาดหวังว่านางจะเปลี่ยนคำพูด “จิ่นซีขอบพระทัยเสด็จพ่อ! ”
“ดี ดี ดี! ลุกขึ้นเถิด! ”
ไม่รู้เพราะวันนี้มู่หรงอวิ๋นไห่ดื่มสุรามาก หรือเป็นวันหวนคืนสู่บัลลังก์ เขาจึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เขาไม่เพียงแย้มยิ้มให้ซูจิ่นซีเท่านั้น ทว่ายังมอบของขวัญให้นางไม่น้อย
ซูจิ่นซีถือกระบี่เฟิ่งอวี่กลับไปยังที่นั่งของตน พลางหันไปยิ้มให้เยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้แสดงท่าทีอันใดมากนัก เขายกจอกสุราไปทางซูจิ่นซีอีกครั้ง ซูจิ่นซีก็ยกจอกสุราขึ้นมาพร้อมกัน และร่วมดื่มสุรากับเยี่ยโยวเหยา
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ดำเนินมาถึงยามสอง (21.00-23.00น.) จึงสิ้นสุดลง ขณะที่ซูจิ่นซีถือกระบี่เฟิ่งอวี่เดินออกไป มีคนจำนวนมากมองตามซูจิ่นซีด้วยสายตาอิจฉาริษยาและเกลียดชัง
ทว่า แล้วอย่างไรเล่า?
นางหาได้ใส่ใจแม้แต่น้อย
หลังจากกลับมา ซูจิ่นซีทดลองใช้กระบี่เฟิ่งอวี่ นางพบว่าตนเองสามารถใช้มันได้อย่างเหมาะมือ กระบี่เฟิ่งอวี่ใช้งานได้เหมาะมือยิ่งกว่ากระบี่จื๋ออิ่งเสียอีก อีกทั้ง ไม่ว่าจะดูจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือด้านชื่อเสียง มันก็เหมาะสมกับกระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยาเป็นอย่างมาก
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงนำกระบี่เฟิ่งอวี่เก็บไว้ในอาคมกำไลปี่อั้น และตัดสินใจจะใช้กระบี่เฟิ่งอวี่ในการต่อสู้ครั้งต่อไป
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่มีทางคาดคิดเลยว่า สาเหตุที่เป่ยถางเย่นำกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาในงานเลี้ยง ไม่ใช่เพื่อค้นหาผู้ที่มีดวงชะตาฮองเฮาของแผ่นดิน ทว่าเขามีจุดประสงค์อื่น
นอกจากนั้น คำพูดเกี่ยวกับกระบี่เฟิ่งอวี่และดวงชะตาฮองเฮานั้น เป็นเพียงข้ออ้างอย่างหนึ่งของเป่ยถางเย่
ซูจิ่นซีคงคาดไม่ถึงว่า ในอนาคตอันใกล้ กระบี่เฟิ่งอวี่เล่มนี้จะนำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาให้นาง
ทว่า นั่นเป็นเรื่องต่อจากนี้
หลังจากนำกระบี่เฟิ่งอวี่ใส่ไว้ในอาคมกำไลปี่อั้น ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาจึงเข้านอน เนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งสองคนจึงผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย ทั้งยังนอนหลับอย่างสงบสุขโดยไม่พูดอันใดกันตลอดทั้งคืน
เช้าวันต่อมา หลังจากรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้น ฮูหยินเฒ่าหานก็ให้คนมาตามซูจิ่นซี บอกว่ามีเรื่องสำคัญ และให้ซูจิ่นซีไปพบ
ท่าทางของผู้ที่มาดูรีบร้อนเป็นอย่างมาก
ตลอดมา เมื่อฮูหยินเฒ่าหานทำสิ่งใด นางล้วนกระทำด้วยความใจเย็น บ่าวรับใช้ของนางก็มีนิสัยเช่นเดียวกับฮูหยินเฒ่าหานที่ทำงานด้วยความมั่นคงเยือกเย็น มีเรื่องใดที่ทำให้คนผู้นี้กระวนกระวายใจเช่นนี้?
ซูจิ่นซีมีลางสังหรณ์ว่าต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างแน่นอน นางจึงออกไปพบฮูหยินเฒ่าหาน
หลังกวาดล้างคนของสำนักโอสถสกุลจง ฮูหยินเฒ่าหานให้จงรุ่ยอันพ่อลูกควบรวมหอโอสถ และงานทั่วไปของสำนักโอสถสกุลจง ทว่าไม่ได้ย้ายเข้าไปในสำนักโอสถสกุลจง ดังนั้นตอนนี้ ฮูหยินเฒ่าหานจึงยังอาศัยอยู่ที่เรือนหลังเดิม
เมื่อซูจิ่นซีมาถึง ฮูหยินเฒ่าหานได้เปิดประตูเรือนรอไว้ก่อนแล้ว
นางเห็นซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด จึงคว้าตัวซูจิ่นซีเข้าไปข้างใน
ฮูหยินเฒ่าหานไม่ได้พาซูจิ่นซีไปที่โถงกลางหรือห้องของตน ทว่าเป็นเรือนด้านหลังของสำนักแพทย์สกุลจง
ในสวนดอกไม้ด้านหลังเรือน มีภูเขาจำลองลูกหนึ่ง ภายในภูเขาจำลองเป็นช่องว่าง ฮูหยินเฒ่าหานเคลื่อนก้อนหินออกไป ปรากฏเป็นเส้นทางลับขึ้นด้านใน
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ฮูหยินเฒ่าหานต้องการทำสิ่งใด? มีเรื่องสำคัญอันใดจะมอบหมายแก่นางหรือ?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังตั้งข้อสงสัยอยู่นั้น ฮูหยินเฒ่าหานก็จับมือของซูจิ่นซี “จิ่นซี แม่หนูน้อย เข้าไปเถิด! ข้างในคือผู้หยั่งรู้ที่ติดตามมารดาของเจ้ามาหลายปี ผู้หยั่งรู้รอเจ้ามานานหลายปีแล้ว ตอนนี้นางใกล้จะทนไม่ไหว ทั้งนางยังมีเรื่องสำคัญบางอย่างจะบอกกับเจ้า”
ผู้หยั่งรู้?
ฮูหยินเฒ่าหานพยักหน้า “รีบเข้าไปเถิด ผู้หยั่งรู้เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย นางรอให้เจ้าเข้าไป เวลาของนางเหลือไม่มากแล้ว”
ฮูหยินเฒ่าหานพูดพลางผลักร่างของซูจิ่นซีเข้าไปข้างใน
ทันทีที่ซูจิ่นซีก้าวเข้าไปในเส้นทางลับ ประตูที่อยู่ตรงทางเข้าก็ปิดลง
อากาศด้านในมีการไหลเวียนเป็นอย่างดี ตะเกียงหมื่นปีส่องสว่างอยู่ตลอดเวลา ทำให้เส้นทางลับสว่างไสวเป็นพิเศษ
ซูจิ่นซีเดินไปตามเส้นทางลับนั้น ผ่านไปไม่นาน ที่ตรงกลางห้องลับขนาดใหญ่ นางได้พบกับผู้หยั่งรู้ที่ฮูหยินเฒ่าหานพูดถึง