สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 648 อยู่มาหนึ่งพันสามร้อยปี
หลิงเซียวจวิ้นจู่วิ่งออกมานอกจวนฉีอ๋อง เพียงเพราะรู้สึกว่าโลกทั้งใบของนางพังทลายลงมา
นางไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีท่านปู่ ไม่มีพี่ชาย กระทั่งคนที่นางไว้ใจที่สุดในตอนนี้อย่างพี่ฉีที่นางรัก ก็ไม่มีแล้ว
นางรู้สึกว่าโลกตรงหน้าช่างวุ่นวาย และนางที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายก็กลายเป็นเด็กกำพร้าสมชื่อ
นางวิ่งไปข้างหน้าสุดกำลัง ราวกับการวิ่งไปเรื่อยๆ เช่นนี้จะทำให้นางลืมเรื่องราวทั้งหมดได้ ลืมว่าเมื่อครู่ตนเองเห็นสิ่งใด และลืมเรื่องราวทั้งหมดในสิบกว่าปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อนางวิ่งเข้าไปในตรอกแคบ ทางด้านหลังก็มีน้ำเสียงอันน่าหลงใหลดังขึ้น
“หลิงเซียวจวิ้นจู่! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่หยุดชะงัก ก่อนจะหมุนตัวกลับ ทว่านางยังไม่ทันเห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างชัดเจน หมอกสีดำกลุ่มหนึ่งก็ลอยมา หลิงเซียวจวิ้นจู่หมดสติล้มลงกับพื้นทันที
เวลาต่อมา นางตื่นขึ้นด้วยเสียงหัวเราะแปลกประหลาด
เมื่อได้สติ นางพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำประหลาดแห่งหนึ่ง
มีผ้าม่านยาวอยู่รอบด้าน แสงเทียนริบหรี่ ควันลอยคลุ้งไปทั่ว ทั้งถ้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมแปลกประหลาด
นางนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าขนมิงค์ผืนหนาสีขาว รอบเตียงมีผ้าม่านยาวสีชมพูอ่อนดูเย้ายวนเป็นพิเศษซึ่งแขวนซ้อนกันเป็นชั้นๆ
เนื่องจากอยู่บนเตียงที่มีผ้าม่านปกปิด นางจึงไม่เห็นเหตุการณ์ด้านนอก ทว่ากลับได้ยินเสียงน้ำไหลที่ด้านนอกผ้าม่านยาว ทั้งยังมีเสียงหยอกเย้าต่อกระซิกของสตรีและบุรุษ และ… น้ำเสียงวาบหวาม ทำให้ใบหูและพวงแก้มของคนฟังแดงระเรื่อ
กล่าวได้ว่า หลิงเซียวจวิ้นจู่เป็นสตรีที่ไม่เคยออกเรือน เมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้จึงตกใจ นางขดตัวและรีบหลบไปข้างหลัง ทว่านางลืมไปว่าข้างหลังไม่มีกำแพง หลังจากถอยไปได้ไม่นาน หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็หล่นลงบนพื้นเสียงดัง ‘ตุบ’
เสียงนั้นดังสะท้อนไปทางด้านนอก เสียงของสตรีและบุรุษพลันเงียบลง ตามมาด้วยเสียงยั่วยวนของสตรีนางหนึ่ง
“เอ๊ะ นางตื่นแล้ว! ”
“นายท่าน นางตื่นแล้ว! ”
‘นายท่าน’ ที่แม่นางผู้นั้นเรียก ดูเหมือนกำลังหยอกล้อกับนาง แม่นางผู้นั้นจึงส่งเสียงที่ทำให้คนเขินอายออกมา
“รอข้า ข้าจะไปดูสักหน่อย! ”
หลังสิ้นเสียงพูด หลิงเซียวจวิ้นจู่ที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้
ยิ่งเสียงนั้นใกล้เข้ามา หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ยิ่งกอดตนเองแน่นขึ้น ร่างกายของนางสั่นเทา
ผ้าม่านยาวที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ ถูกเปิดออก ในที่สุด คนผู้นั้นก็หยุดอยู่เบื้องหน้าหลิงเซียวจวิ้นจู่
“กรี๊ด… ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่กรีดร้องด้วยความตกใจ นางลุกขึ้นและวิ่งไปข้างหลัง
โตมาถึงเพียงนี้ นางไม่เคยพบเจอคนที่น่ากลัวเช่นนี้มาก่อน
คนผู้นั้นมีใบหน้าประหลาด ผิวขาวซีดราวกับกระดาษ ดั่งปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรก เบ้าตาลึก ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ ริมฝีปากแดงดั่งเลือดสด ผมยาวสยายลงบนพื้น ชวนให้สับสนว่าเขาเป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่
ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือ เขาเปลือยกายครึ่งท่อน ผิวหนังภายใต้เสื้อที่เปิดอยู่นั้นเป็นสัญลักษณ์ดวงตาที่น่ากลัว เพียงจ้องมองก็ตกอยู่ในภวังค์ ราวกับดวงตาเหล่านั้นกำลังจับจ้องตนเองอยู่
คนผู้นั้นยื่นมือออกไปจับหลิงเซียวจวิ้นจู่ นิ้วเรียวยาวของเขาราวกับกรงเล็บของนกอินทรี ทั้งยังยาวกว่านิ้วของนางเสียอีก
“อย่ากลัว ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง พลางส่ายศีรษะด้วยความกลัว “อย่า อย่าเข้ามา เจ้าคือผู้ใด? ”
คนผู้นั้นราวกับได้ยินเรื่องตลกขบขัน เขายื่นมือออกมาและพึมพำว่า “ข้าคือผู้ใดหรือ? ” ดวงตาของเขากลอกไปมา ก่อนจะมองไปทางด้านหลัง
ผ้าม่านที่อยู่ด้านหลังถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว แม่นางผู้หนึ่งที่แต่งกายยั่วยวนส่ายเอวพลิ้วไหวราวกับงู นางค่อยๆ เดินไปหาบุรุษผู้นั้น เมื่อเดินไปใกล้ก็คลอเคลียคนผู้นั้นดั่งวิญญาณงู
“เวลาผ่านมานานมากแล้ว ข้าลืมไปแล้วว่าตนเองคือผู้ใด? ”
ขนคิ้วของเขายาวเหมือนเส้นไหม เขาแลบลิ้นที่เหมือนลิ้นงูออกมา และเลียไปที่ลำคอของแม่นางผู้นั้น
“พันปีแล้ว ข้าลืมไปแล้วจริงๆ ว่าตนเองคือผู้ใด แม่นางคนงาม เจ้าจำได้หรือไม่? ”
พันปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามนี้กับเขา
โฉมงามส่งเสียงครวญครางกับการกระทำของคนผู้นั้น ก่อนจะพูดกับหลิงเซียวจวิ้นจู่ว่า “นายท่านคือพ่อมด เป็นพ่อมดที่ไม่มีผู้ใดบนโลกเปรียบเทียบได้ กระทั่งเทพเจ้าและภูตผีปีศาจก็ไม่อาจขัดขวาง! ”
พ่อมดอันใด หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หัวใจของนางแทบระเบิดด้วยความกลัว สีหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ นางส่ายศีรษะไปมา น้ำตาไหลพราก ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด
“เหตุใดเจ้าจึงจับข้ามา เจ้าคิดจะทำอันใด? ”
“ข้าขอบอกเจ้า สามีของข้าคือฉีอ๋องในราชวงศ์ปัจจุบัน หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าแม้แต่ปลายผม สามีข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่! ”
“ไม่ปล่อยข้าไว้หรือ? ” พ่อมดราวกับได้ยินเรื่องน่าขันอีกครั้ง เขาพูดอย่างไร้ซึ่งความกังวล “ฉีอ๋องคือผู้ใด? กล้าสู้กับข้าหรือ? ” เขาพูดพลางปิดเปลือกตาลง จากนั้นจึงนำนิ้วโป้งแตะนิ้วกลางทั้งสองข้าง ผ่านไปสักพักก็ลืมตาขึ้น “ที่แท้ก็เป็นเขา! ”
เมื่อเห็นพ่อมดมีท่าทางกังวลเล็กน้อย หลิงเซียวจวิ้นจู่จึงเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง “คงกลัวแล้วกระมัง? หากเกรงกลัว พวกเจ้าก็รีบปล่อยข้า! แล้วข้าจะเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้า! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ” พ่อมดหัวเราะลั่น “ได้ยินหรือไม่? นางพูดอันใด? ”
พ่อมดจงใจถามหญิงงามข้างกาย นางจึงตอบกลับอย่างนุ่มนวลว่า “นายท่าน นางบอกว่าจะไว้ชีวิตท่าน! ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” พ่อมดหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง “บนโลกนี้ ข้าได้ลิ้มลองมาทุกรสชาติ ทว่ากลับไม่เคยลิ้มลองรสชาติของความตาย”
เขาพูดพลางใช้ลิ้นเลียมุมปาก ก่อนจะปล่อยสตรีงามในอ้อมกอด และเดินเข้าไปหาหลิงเซียวจวิ้นจู่อย่างเชื่องช้า
หลิงเซียวจวิ้นจู่ถอยร่นไปชิดกำแพง ไม่มีทางให้ถอยแล้ว
ด้วยความตกใจกลัว ในที่สุด พ่อมดก็เดินมาถึงเบื้องหน้านาง เขาโน้มตัวลงมาจุมพิตลำคอของนาง ราวกับกำลังลิ้มรสชาติความอร่อยของโลก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น ใบหน้าปรากฏความสนุกและสดชื่น
การแสดงออกเช่นนั้น ทำให้หลิงเซียวจวิ้นจู่ขนลุกไปทั้งตัวจนอยากอาเจียนออกมา
“ไม่เลว เป็นเตาหลอมที่ไม่เลว ทั้งยังเป็นหยางบริสุทธิ์ ข้าไม่ได้เพลิดเพลินกับสิ่งของชั้นสูงเช่นนี้มานานมากแล้ว”
สตรีงามก้มศีรษะอย่างเขินอาย “นายท่าน นี่คือสิ่งที่ข้าน้อยตามหาอย่างยากลำบาก”
“กลับไปข้าจะตกรางวัลให้อย่างงาม! ”
“ขอบคุณนายท่าน! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่ฟังพวกเขา ความรู้สึกตื่นตระหนกและความหวาดกลัวยิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้าคือจวิ้นจู่ที่มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นสตรีที่มีเกียรติสูงสุดในแคว้นหนานหลี พวกเจ้า… พวกเจ้าจะล่วงเกินไม่ได้ พวกเจ้าจับข้ามา คิดจะทำอันใด? ข้าขอบอกพวกเจ้า หาก… หากปล่อยข้ากลับไป บางทีข้าอาจขอร้องฝ่าบาทและฉีอ๋องให้ไว้ชีวิตสุนัขอย่างพวกเจ้า! ”
ครานี้ พ่อมดไม่ได้หัวเราะ
ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขาราวกับกำลังมองเด็กน้อยซุกซน ใบหน้าสยดสยองน่ากลัวค่อยๆ โน้มเข้ามาใกล้ใบหน้าของหลิงเซียวจวิ้นจู่
“สำนักโอสถสกุลจงสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าอื่น และถูกฉีอ๋องของเจ้าถอนรากถอนโคน สตรีที่ได้ชื่อว่ามีเกียรติที่สุดในแคว้นหนานหลี เป็นเพียงตัวแทนของสตรีอีกนางหนึ่ง นอกจากนั้น เหตุผลที่ฉีอ๋องยังยอมให้เจ้าอยู่ข้างกายหลังจากครอบครัวของเจ้าถูกกำจัด เพราะเขาสงสารพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก เขาไม่ได้รักเจ้า! เด็กน้อย ตอนนี้เจ้าไม่เหลือสิ่งใดแล้ว ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะเอาอันใดมาทำร้ายข้า”
สิ่งที่พ่อมดกล่าวคือความจริงที่หลิงเซียวจวิ้นจู่ไม่กล้ายอมรับ
นางก้มหน้าด้วยความทุกข์ระทม “ไม่ ไม่ใช่เช่นนี้ ไม่ใช่เช่นนี้! เจ้าพูดจาไร้สาระ พูดจาไร้สาระ”
พ่อมดยืนขึ้นอย่างไม่เกรงกลัว พลางไพล่สองมือไว้ด้านหลัง “ข้ามีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันสามร้อยปีแล้ว บนโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าทำไม่ได้ เจ้าปรารถนาสิ่งใด ข้าสามารถให้เจ้าได้ ยกเว้นออกไปจากที่นี่! ”
ไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่ได้ รับปากนางได้ทุกเรื่อง?
ทันใดนั้น หัวใจของหลิงเซียวจวิ้นจู่ก็สงบลงเล็กน้อย ดวงตามีแสงประหลาดปรากฏขึ้น ก่อนจะค่อยๆ มองไปยังใบหน้าอันน่าหวาดกลัวนั้น