สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 650 รอบเดือนบุรุษก็มาแล้ว?
ยามนี้ ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้มาถึงสวนตี้เหมยในเมืองเหยาเฉิงแล้ว
แม้ไม่ใช่ฤดูที่ดอกเหมยเบ่งบาน ทว่าต้นเหมยรอบๆ ทะเลสาบกลับเขียวชอุ่ม เป็นทิวทัศน์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น
ขณะที่ทั้งสองเดินทางโดยเรือจากบนฝั่งไปยังสวนตี้เหมยที่อยู่ใจกลางทะเลสาบ ทุกคนในเรือนก็ทราบแล้วว่า ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยามาถึงแล้ว
เมื่อเรือเทียบท่า ทุกคนก็ออกมารอต้อนรับอยู่ด้านนอกเรือน
พวกเขารักใคร่พระชายา!
พระชายาไม่เพียงรูปโฉมงดงามเท่านั้น ทว่ายังอัธยาศัยดี นางไม่เคยแสดงอาการดูถูกเหยียดหยามต่อหน้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา
นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ นางเป็นผู้ที่ท่านอ๋องโปรดปราน และนางสามารถทำให้ท่านอ๋องมีรอยยิ้ม
ต้องทราบว่า ตอนที่พระชายายังไม่ปรากฏตัวนั้น ท่านอ๋องไม่เคยแย้มยิ้มแม้แต่น้อย
กระทั่งพระชายาปรากฏตัว พวกเขาจึงรู้ว่า แท้จริงแล้ว ท่านอ๋องก็ยิ้มเป็น ทั้งยังยิ้มแล้วหล่อเหลาไม่เบาทีเดียว
เหมยจื่อและล่าเยวี่ย บ่าวรับใช้ทั้งสองคนที่ดูแลซูจิ่นซีตอนอยู่ที่สวนตี้เหมยก่อนหน้านี้ ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของทุกคนเมื่อเห็นซูจิ่นซี พวกนางก็แย้มยิ้มสดใสด้วยท่าทางตื่นเต้น หลังจากทำความเคารพแล้ว พวกนางก็คำนับซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง
“ข้าน้อยคำนับท่านอ๋อง คำนับพระชายา ข้าน้อยได้ทำความสะอาดห้องโถงใหญ่ไว้ให้พระองค์แล้ว พระองค์สามารถเข้าไปพักผ่อนได้เพคะ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า เยี่ยโยวเหยาจึงพาซูจิ่นซีเข้าไปข้างใน
เดินทางมาตลอดทั้งคืน ซูจิ่นซียังรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง หลังจากแช่ตัวในอ่างอาบน้ำในห้องโถงใหญ่เรียบร้อย ซูจิ่นซีจึงเข้านอน
เยี่ยโยวเหยารู้ว่าซูจิ่นซีมีเรื่องบางอย่างในใจ ทว่าซูจิ่นซีไม่ต้องการพูด เขาจึงไม่สอบถามหรือรบกวนนาง หลังจากจัดการเอกสารราชสำนักที่องครักษ์เงาส่งมาเรียบร้อย เยี่ยโยวเหยาก็ล้มตัวลงนอนเคียงข้างซูจิ่นซี
ทั้งสองคนตื่นขึ้นมาตอนหัวค่ำ เหมยจื่อและล่าเยวี่ยได้ให้คนจัดเตรียมสำรับอาหารค่ำไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารค่ำเสร็จสิ้น ซูจิ่นซีก็เสนอให้ไปเดินเล่นข้างทะเลสาบ เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ขัดข้องอันใด จึงไปเดินเล่นข้างทะเลสาบเป็นเพื่อนซูจิ่นซี
ตอนบ่ายฝนตกเล็กน้อย ในฤดูใบไม้ร่วงจะเห็นรุ้งกินน้ำหลังฝนตกได้ง่าย วันนี้พวกเขาจึงได้เห็นรุ้งกินน้ำพอดี
สะพานสายรุ้งเจ็ดสีบนขอบฟ้าราวกับแถบผ้าเจ็ดสีที่เปล่งประกาย แสงสว่างทั้งเจ็ดสาดส่องลงไปในทะเลสาบ คลื่นสีฟ้าสดใสในทะเลสาบดั่งสรวงสวรรค์บนดิน ช่างงดงามยิ่งนัก
กอปรกับแสงอาทิตย์อัสดงสีแดง ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงนั้นสาดส่องลงมาบนต้นไม้และชายคาที่อยู่ไกลออกไป ด้วยแสงสว่างที่เป็นสีเดียวกัน ก่อให้เกิดภาพอันงดงามตามธรรมชาติ
ภาพนั้นงดงามราวกับภาพวาด
หากเป็นในยุคปัจจุบัน ซูจิ่นซีต้องนำโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายภาพและส่งไปให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเป็นอันดับแรก ทว่าในยุคสมัยโบราณนี้ ไม่มีอินเทอร์เน็ต ไม่มีไฟฟ้า ตอนที่นางข้ามมิติเวลามา โทรศัพท์มือถือที่นำติดตัวมาด้วยก็กลายเป็นเศษเหล็กไร้ประโยชน์เสียแล้ว ไม่รู้ว่าถูกนางโยนทิ้งไว้ที่ใด
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยายืนอยู่ข้างทะเลสาบ สายลมเอื่อยพัดเสื้อผ้าของพวกเขาให้ลอยขึ้นไปในอากาศอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังพัดเส้นผมข้างขมับของซูจิ่นซี ซูจิ่นซีใช้มือจับปลายผมที่ปลิวไสวไปด้านหลังใบหู
เยี่ยโยวเหยายื่นมือมาแตะหัวไหล่ของนาง จากนั้นจึงตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนของตนอย่างเชื่องช้า
แท้จริงแล้ว เขาต้องการทราบว่าหลายวันมานี้ เกิดสิ่งใดขึ้นกับนาง เนื่องจากเขารู้สึกไม่ดีนัก จึงต้องการแบ่งเบาความกังวลนี้จากนาง
อย่างไรก็ตาม เขารู้ดี หากซูจิ่นซีต้องการบอกเขา นางคงเอ่ยปากพูดนานแล้ว ทว่านางไม่พูด เป็นเพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดอย่างไร
ทั้งสองคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็พูดขึ้นว่า “เห็นอาทิตย์อัสดงมาหลายครั้ง เห็นทิวทัศน์มามากมาย หม่อมฉันยังรู้สึกว่าเรือนชิงโยวงดงามที่สุด เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดว่าอย่างไร? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ตอบคำถามของซูจิ่นซีในทันที เขาเหลือบมองใบหน้านาง ก่อนจะหันไปมองทะเลสาบอันเงียบสงบและพูดว่า “ขอเพียงมีเจ้าอยู่ด้วย ไม่ว่าทิวทัศน์ที่ใดก็สวยงาม”
ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้น นางมองใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยความตกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงวางศีรษะลงบนหัวไหล่ของเยี่ยโยวเหยา “เช่นนั้น ท่านมองเพียงหม่อมฉันก็ได้กระมัง? ยังต้องมองทิวทัศน์อันใดอีก! ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปาก เผยให้รอยยิ้มรักใคร่เอ็นดู เขาลูบผมหน้าม้าของซูจิ่นซี พลางกระชับหัวไหล่ของนางให้แน่นขึ้นเล็กน้อย
“ข้อเสนอนี้ดียิ่งนัก ข้าจะนำเก็บไปคิดอย่างจริงจัง”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็นิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาก็หยิบกล่องผ้าออกมายื่นให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “สิ่งใดหรือเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาเพียงแย้มยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอันใด
ซูจิ่นซีรับกล่องผ้ามาเปิดดู ด้านในเป็นแผ่นทองสามแผ่น
ซูจิ่นซีพลันตกตะลึง นางขมวดคิ้วมุ่น “เยี่ยโยวเหยา ท่านหมายความว่าอย่างไร? ไม่หวานซึ้งเอาเสียเลย นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแผ่นทองอีกแล้ว ท่านให้สิ่งอื่นบ้างได้หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยามีท่าทีเฉยเมย “จิ่นซี เดือนก่อนข้าสัญญากับเจ้าว่าจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้า! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น พลางยกแผ่นทองสามแผ่นไปทางเยี่ยโยวเหยา “นี่คือของขวัญชิ้นใหญ่ของท่านหรือ? ” ซูจิ่นซีทำอันใดไม่ถูกจริงๆ “นอกจากเงิน ท่านยังมีสิ่งพิเศษอื่นที่จะมอบให้หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “มี! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “คือสิ่งใด? ”
ท่าทางของเยี่ยโยวเหยายังคงไม่เปลี่ยนแปลง “อำนาจ! ”
ปากของซูจิ่นซีเปิดออกเป็นรูปตัว ‘โอ’ ด้วยความตกตะลึง ทันใดนั้น นางก็กระแทกหมัดไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยาอย่างแรง “ช่างเป็นนายทุนที่ชั่วร้ายและน่าอับอายยิ่งนัก! ”
เยี่ยโยวเหยาคว้าหมัดของซูจิ่นซีไว้ ก่อนจะดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขน และใช้มืออีกข้างโอบเอวซูจิ่นซีเข้าหาตนเอง จากนั้นจึงมองตาของนางอย่างใกล้ชิด
“มีเงินและอำนาจจึงจะสามารถบดขยี้ทุกอย่างได้ ข้าจะอาศัยเงินและพลังอำนาจเพื่อควบคุมอาณาจักรเทียนเหอ ซีซีชอบหรือไม่? ”
ทุกครั้งที่เยี่ยโยวเหยาเรียกนางว่า ‘ซีซี’ มักไม่เป็นเรื่องดี ซูจิ่นซีเกร็งตัวถอยหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกังวลใจ “ชอบ… ชอบ ชอบอย่างแน่นอนเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยามองแผ่นทองสามแผ่นในมือของซูจิ่นซี “นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้มาหลังจากยึดครองแคว้นซีอวิ๋น เป็นเงินทองทั้งหมดที่รวบรวมมาจากแคว้นซีอวิ๋น ข้าคิดว่าซีซีคงจะชอบมัน! ”
โอ้ สวรรค์ สิ่งใดคือคุณค่าของการรวบรวมประเทศ
นับว่าวันนี้ซูจิ่นซีได้เห็นแล้ว
ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีรู้สึกได้ว่าแผ่นทองสามแผ่นที่อยู่ในมือของนางพลันหนักอึ้ง และกดทับข้อมือของนางจนแทบหัก
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาก็จุมพิตลงบนริมฝีปากของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซียกมือป้องริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาได้ทัน ดวงตาของนางทอประกายดิ้นรนและคิดไม่ตก
เยี่ยโยวเหยาหันศีรษะไปอีกทางหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงมือของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีตกใจเล็กน้อย เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ หรี่ดวงตาดำขลับและลึกซึ้ง “เป็นอันใด? รอบเดือนของซีซียังไม่หมดอีกหรือ? ”
แก้มของซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางรีบก้มศีรษะลง “หมด… หมดแล้วเพคะ… ”
ผ่านมาหลายวันแล้ว หากพูดว่ายังไม่หมด คนอาจสงสัยว่านางเป็นภาวะรอบเดือนไหลไม่หยุดกระมัง
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาจะขมวดคิ้วและพูดว่า “บุรุษก็มีรอบเดือนเช่นกันหรือ? ”
“อึก… ” ซูจิ่นซีเกือบหัวเราะออกมา
ทว่านางยังคงกัดริมฝีปากเอาไว้ ไม่เผลอหลุดหัวเราะ
รอบเดือนบุรุษอันใด?
เยี่ยโยวเหยาเรียนรู้ที่จะพูดจาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
ซูจิ่นซีสาบานว่า นางไม่ได้เป็นคนทำให้โยวอ๋องผู้แสนเย็นชาและวางอำนาจเปลี่ยนไปเช่นนี้