สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 657 นางไม่มีลมหายใจแล้ว
“จิ่นซี เจ้าฟื้นสิ จิ่นซี! ซูจิ่นซี… ”
เล็บเรียวยาวเหมือนตะขอของซูจิ่นซีจมลึกเข้าไปในลำคอของเยี่ยโยวเหยา ทำให้เลือดไหลเปื้อนไปทั่วเสื้อผ้าของเขา
ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่ได้ผลักไสซูจิ่นซี ทั้งยังไม่ยอมให้ผู้อื่นดึงตัวซูจิ่นซีออกไป แววตาของเขามองไปที่ซูจิ่นซีด้วยความเสน่หา และส่งเสียงเรียกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า
คราแรก แววตาของซูจิ่นซีเป็นสีแดงเพลิงไร้ซึ่งชีวิตชีวา ทว่าเยี่ยโยวเหยาเรียกนางซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น เมื่อลมหายใจของเยี่ยโยวเหยาอ่อนลง ดวงตาของซูจิ่นซีจึงเปล่งประกาย
ดูเหมือนนางจะรับรู้ได้ว่าตนเองกำลังทำอันใด ทว่านางไม่อาจควบคุมตนเองได้ นางหวาดกลัวและเจ็บปวดอย่างมาก
เยี่ยโยวเหยาที่ลมหายใจอ่อนกำลังลง เห็นแววตาทอประกายของซูจิ่นซี จึงยื่นมือออกไปลูบไล้แก้มของซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
“ซูจิ่นซี ข้าอยู่นี่! ข้าอยู่กับเจ้าเสมอ! ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เจ้าต้องเข้มแข็ง! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยโยวเหยา ดวงตาของซูจิ่นซีพลันมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมา
เดิมที อาการป่วยของซูจิ่นซีและตงหลิงหวงเป็นเช่นเดียวกัน เนื่องจากถูกคำสาปของไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจ ทว่าเวลานี้ ซูจิ่นซีมีท่าทีแตกต่างออกไป ส่วนตงหลิงหวงกลับไร้ซึ่งการตอบสนอง
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
แท้จริงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพ่อมดกระทำการบางอย่างกับไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจ
บนแท่นบูชาที่มืดมนและน่าสะพรึงกลัว ใบหน้าของพ่อมด สงบนิ่งอย่างน่าหวาดหวั่น เขาหยดเลือดตนเองลงบนไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจ เมื่อเลือดของเขาหยดลงไป เดิมที ไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจที่โปร่งแสง กลับกลายเป็นสีม่วงเข้มอย่างเชื่องช้า
“ใช้เลือดพ่อมดอย่างข้าเป็นคำสาป วิญญาณเผ่าข้าที่ถูกสาปและถูกทำลาย ตลอดจนวิญญาณที่กระจัดกระจายไม่อาจส่งเสียงได้ชั่วนิรันดร์”
จากนั้น ไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจก็ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าอันน่ากลัวของพ่อมดก็แปรเปลี่ยนเป็นพึงพอใจ
เขาไม่คิดเลยว่า ซูจิ่นซีที่ถูกคำสาปของหลิงเซียวจวิ้นจู่ จะเป็นเทพธิดาเผ่าเม้ยที่กลับชาติมาเกิดหลังจากหนึ่งพันปีต่อมา
เขาไม่มีทางลืมว่าตอนนั้น เทพธิดาเผ่าเม้ยทำลายล้างเผ่าของเขาอย่างไร ทำลายครอบครัวของเขาอย่างไร
ตอนนั้น หากเขาไม่ออกไปจากเผ่า ก็คงเอาชีวิตไม่รอด
เขาคิดว่าชั่วชีวิตนี้ คงไม่สามารถแก้แค้นให้แก่เผ่าพันธุ์และครอบครัวของตนได้ เนื่องจากเทพธิดาถูกกำจัดไปเมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม คาดไม่ถึงว่าตอนนั้น วิญญาณของเทพธิดาไม่ได้หายไปจริงๆ แต่กระจัดกระจายอยู่ในโลกมนุษย์ และกลับชาติมาเกิดในอีกหนึ่งพันกว่าปีต่อมา ทั้งนางยังรนหาที่ มาให้เขาจัดการด้วยตนเองอีกด้วย
ในเมื่อตั้งแต่แรก นางไม่ได้ถูกทำลายกลายเป็นเถ้าถ่าน เช่นนั้นในชาตินี้ เขาจะให้นางได้ลิ้มลองรสชาติของการถูกทำลายเป็นเถ้าถ่านที่แท้จริง
พ่อมดครุ่นคิดพลางเร่งความเร็วให้โลหิตไหลลงไปยังไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจ การแสดงออกบนใบหน้าของเขายิ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากขึ้น
เบื้องหน้าของเขาคือภาพเสมือนจริง จากภาพเสมือนจริงนั้น ทำให้เขามองเห็นเหตุการณ์ทางฝั่งเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และคนอื่นๆ
เขาเห็นซูจิ่นซีควบคุมตนเองไม่ได้ นางไม่รู้จักแม้กระทั่งเยี่ยโยวเหยา พ่อมดพึงพอใจอย่างมาก
เผามัน เผามันเถิด!
เมื่อคำสาปเผาผลาญจิตใต้สำนึกไปจนหมดสิ้น นางก็จะเข้าใกล้การสลายกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว
ทันใดนั้น หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็วิ่งเข้ามาเห็นเหตุการณ์ในภาพเสมือนจริง นางพลันตกตะลึง
เมื่อเห็นมู่หรงฉี ทันใดนั้น นางก็เกิดหวาดกลัวเล็กน้อย กลัวว่าหากมู่หรงฉีรู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของนาง ชั่วชีวิตนี้ มู่หรงฉีคงไม่มีวันให้อภัยนาง
ทว่าชั่วพริบตา แววตาของนางก็เปลี่ยนเป็นความแน่วแน่
รู้แล้วจะเป็นอย่างไร?
นางเพียงต้องการให้นางแพศยาซูจิ่นซีจบชีวิตลง และให้นางแพศยาตงหลิงหวงจบชีวิตลงเช่นกัน
ตายไปเสีย!
ตายไปแล้ว ชาติหน้าก็อย่าได้พบได้เจอกันอีก
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ และนึกถึงสิ่งที่นางต้องสูญเสียเพื่อแลกกับสิ่งที่ยึดติดอยู่ในใจ หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็กำหมัดแน่น
นางกัดริมฝีปากจนเลือดไหลซึมออกมา
อย่างไรก็ตาม ขอเพียงพี่ฉีกลับมาอยู่เคียงข้างนาง ทุกอย่างที่ทำไปก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
ทันใดนั้น ภาพเสมือนจริงก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ไข่มุกเจ็ดนักษัตรแห่งแดนปีศาจแตกกระจายดัง ‘ปัง’ พ่อมดแย้มยิ้มอย่างชั่วร้าย และพุ่งตัวไปทางหลิงเซียวจวิ้นจู่
ในขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีที่กำลังบีบคอเยี่ยโยวเหยาก็ล้มลง เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปรับตัวซูจิ่นซี เขารั้งร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขนตนเอง
อวิ๋นจิ่นรีบเข้ามาตรวจดูอาการของซูจิ่นซี ทว่าทันทีที่มือของเขาสัมผัสชีพจรของซูจิ่นซี ทันใดนั้น ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งเขายังตรวจดูชีพจรที่ลำคอของซูจิ่นซีอีกด้วย
ครั้งนี้ อวิ๋นจิ่นไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป เขาเป็นห่วงซูจิ่นซีอย่างจริงใจ และหวาดกลัวแทนซูจิ่นซี
เนื่องจากซูจิ่นซีไร้ซึ่งสัญญาณชีพจร
อวิ๋นจิ่นไม่คิดสิ่งใดอีกต่อไป เขาแย่งตัวซูจิ่นซีมาจากอ้อมแขนของเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้า และวิ่งไปด้านข้างหน้าผา
เยี่ยโยวเหยารีบกระโดดไปอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นจิ่น ด้วยใบหน้าขึงขัง “เจ้าต้องการจะทำอันใด? ”
อวิ๋นจิ่นที่สงบนิ่งและมั่นคงมาโดยตลอด ยามนี้ ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำ ทั้งน้ำเสียงยังสั่นเครือ “นางไม่มีลมหายใจและชีพจรแล้ว ที่นี่เป็นตำแหน่งที่ตั้งของผาเก็บดาว หากตำแหน่งถูกต้อง แม้ไม่รอให้แสงจันทร์ปรากฏ เพียงกระโดดลงไปก็สามารถหาพบ หากตามหาเจ้าหุบเขาผาเก็บดาวพบ บางทีนางอาจจะยังมีโอกาสรอดชีวิต”
อันใดกัน?
ซูจิ่นซีไม่มีชีพจรแล้ว?
เยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี และตงหลิงจวิ้น ทั้งสามคนตกตะลึงอย่างมาก
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดปกติของอวิ๋นจิ่น และการเปลี่ยนแปลงคำเรียกซูจิ่นซีอย่างกะทันหัน
ไม่ว่าเวลาใด อวิ๋นจิ่นก็ยังคงสงบนิ่งอยู่เสมอ ไม่ว่าสถานการณ์จะคับขันเพียงใด เขาก็จะเรียกซูจิ่นซีว่า ‘พระชายา! ’ เขาเคยเรียกซูจิ่นซีว่า ‘นาง’ ที่ใดกัน?
ทันใดนั้น ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ บรรยากาศเย็นชาโดยรอบและลมหายใจอันน่าเกรงขามพลันปรากฏขึ้น
กระทั่งมู่หรงฉียังหวาดกลัวจนตัวสั่นเทา
ตั้งแต่ซูจิ่นซีปรากฏตัวอยู่ข้างกายเยี่ยโยวเหยา เป็นเวลานานมากแล้วที่เยี่ยโยวเหยาไม่แสดงออกด้วยลมหายใจอันน่าเกรงขามเช่นนี้
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็แย่งตัวซูจิ่นซีมาจากอวิ๋นจิ่น เขาโอบกอดนางและกระโดดลงจากหน้าผาอย่างไม่ลังเล
เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วมาก กระทั่งอวิ๋นจิ่นที่อยู่ใกล้เขามากที่สุดยังไม่ทันได้ตอบสนอง มือของอวิ๋นจิ่นยังอยู่ในท่ากอดซูจิ่นซี เขามองตำแหน่งที่เยี่ยโยวเหยากระโดดลงไปด้วยสายตาซับซ้อนยากอธิบาย
จิ้นหนานเฟิงและคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นในทันที พวกเขาวิ่งไปที่ขอบหน้าผา และตะโกนเรียกด้วยความตื่นตระหนก “ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ”
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเมฆหมอกหนาทึบ กลับไร้เงาของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
มู่หรงฉีและตงหลิงจวิ้นยืนอยู่บนขอบหน้าผาด้วยแววตาตื่นตระหนกและไม่พูดสิ่งใด เวลาผ่านไปนานแล้ว ทว่าพวกเขายังไม่อาจเรียกสติกลับคืนมาได้
ครู่หนึ่ง ทันใดนั้น มือของมู่หรงฉีก็เกิดอาการสั่นเทา ใบหน้าค่อยๆ ซีดขาว
หน้าผานี้คงสูงราวหนึ่งร้อยจั้ง ไม่ต้องพูดถึงว่าผาเก็บดาวอยู่ข้างล่างหรือไม่ แม้วรยุทธ์ของเยี่ยโยวเหยาจะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่สามารถทนแรงกระแทกหลังจากกระโดดลงไปได้ ร่างกายต้องแหลกสลายเพราะแรงกระแทกเป็นแน่
เยี่ยโยวเหยาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ?
เขาไม่ครุ่นคิดแม้แต่น้อย ทั้งยังกอดซูจิ่นซีกระโดดลงไปโดยไม่ลังเล
เสียงของมู่หรงฉีสั่นเครือเล็กน้อยด้วยความตกใจ เขาถามอวิ๋นจิ่นว่า “หมอหลวงอวิ๋น ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไร? ”
ดูเหมือนอวิ๋นจิ่นจะไม่ได้ยินคำพูดของมู่หรงฉี เขาไม่พูดอันใดแม้แต่ประโยคเดียว ก่อนจะกระโดดตามลงไป