สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 22 ตอนที่ 658 โลกแห่งความว่างเปล่า ผาเก็บดาว
มู่หรงฉีกำลังลังเล เขารู้สึกว่าไม่มีหนทางอื่นอีกแล้ว จึงอุ้มตงหลิงหวงลงจากรถม้าและกระโดดตามไป
หลังจากลอยอยู่กลางอากาศ ร่างของมู่หรงฉีก็ตกลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว เขาอุ้มตงหลิงหวงไว้ในอ้อมแขน ไม่มีสิ่งใดให้ใช้ประโยชน์เพื่อออมพลังได้เลย สายลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิวข้างใบหู หลายสิ่งเคลื่อนที่ผ่านหน้าเขาราวกับเงา ขณะนั้น ดูเหมือนจังหวะการเต้นของหัวใจจะเร็วขึ้นเล็กน้อย
มู่หรงฉีมองตงหลิงหวงในอ้อมแขนที่มีเบ้าตาสีเขียวเข้ม ริมฝีปากสีน้ำเงินเข้ม ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน ดูเหมือนนางจะผอมลงมาก
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นเป็นอย่างไร ทว่าเวลานี้ มู่หรงฉีพลันรู้สึกเสียใจ เสียใจที่กอดตงหลิงหวงกระโดดลงมา
พวกเขายังตายไม่ได้ เขาต้องการให้นางมีชีวิตที่ดี และพวกเขาทุกคนต้องมีชีวิตที่ดี มู่หรงฉีมีสัญชาตญาณว่า พวกเขายังมีวาสนาต่อกันอีกยาวนาน
เขาต้องการหาที่เกาะหน้าผาด้านข้าง ทว่าเขาไม่อาจปล่อยมือได้ หลังจากลองกระโดดดูหลายครั้งก็ยังไม่เห็นผล มู่หรงฉีจึงรู้สึกหมดหวังเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุด ความตายที่รอคอยก็ยังมาไม่ถึง
ทันใดนั้นก็มีเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น พวกเขาตกลงสู่เขตเวทมนตร์
เมื่อลงมาบนพื้น มู่หรงฉีมองเห็นโลกอันงดงามแห่งหนึ่ง เบื้องหน้ามีเยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และชายชราผมหงอกผิวแดงก่ำ (ลักษณะผู้สูงอายุที่สุขภาพดี)
มู่หรงฉีกลับมาได้สติ จึงรู้ว่าตนเองตกลงมาที่ผาเก็บดาวแล้ว พวกเขายังไม่ตาย ชายชราผู้นั้นต้องเป็นเจ้าหุบเขาผาเก็บดาวแน่นอน
มู่หรงฉีอุ้มตงหลิงหวงเข้าไป “ท่านเจ้าหุบเขา ผู้นี้คือตงหลิงหวง รัชทายาทแห่งแคว้นตงเฉิน นางก็ถูกวิชาเวทของพ่อมดเช่นกัน ท่านโปรดช่วยนางด้วย! ”
มู่หรงฉีวางร่างตงหลิงหวงและซูจิ่นซีไว้ด้วยกัน
เจ้าหุบเขากำลังตรวจดูอาการของซูจินซี ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นยืน เขาหันไปทางเยี่ยโยวเหยา พลางส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้า “ช่วยไม่ได้แล้ว นางไร้ลมหายใจแล้ว อวัยวะภายในทั้งห้าถูกเผาไหม้จนหมดสิ้น อีกทั้งวิญญาณของนางยังไม่สมบูรณ์ ข้าช่วยนางไม่ได้! ”
ไร้ลมหายใจ? ช่วยไม่ได้แล้ว?
ขณะนั้น บรรยากาศรอบตัวของเยี่ยโยวเหยาพลันเย็นยะเยือกอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ความสิ้นหวังปรากฏในดวงตาลึกซึ้งดั่งทะเลแห่งดวงดาว
เพราะเหตุใด?
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?
ซูจิ่นซี ผู้ใดกล้าให้เจ้าตาย?
ซูจิ่นซี เจ้าลุกขึ้นมา!
ซูจิ่นซี…
เยี่ยโยวเหยาคุกเข่าลงข้างกายซูจิ่นซีเสียงดัง ‘ตุบ’ เข่าทั้งคู่จมลงไปในพื้น
ความโศกเศร้าและความหนาวเหน็บ ปรากฏขึ้นทั่วทั้งท้องฟ้าและแผ่นดิน
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยากลายเป็นสีแดงก่ำ เขาค่อยๆ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปลูบไล้พวงแก้มของซูจิ่นซี ก่อนจะจับมือของนางด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม
มู่หรงฉีที่กำลังเศร้าโศกพลันตกตะลึง หากในเวลานี้ มีคนที่รู้จักเยี่ยโยวเหยาอยู่ด้วย พวกเขาคงประหลาดใจอย่างมาก
โยวอ๋องเคยหลั่งเหงื่อและโลหิต ทว่าไม่เคยรู้ว่าการหลั่งน้ำตาคือสิ่งใด ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ ทั้งยังร้องไห้อย่างเศร้าโศก
ที่แท้น้ำตานั้นขมขื่น หมดหนทาง ไม่อาจช่วยได้ และสิ้นหวัง
เขาคิดว่าตนเองเชี่ยวชาญทุกอย่างในใต้หล้า กลับนึกไม่ถึงว่า เขาไม่อาจปกป้องนางได้
ซูจิ่นซี เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร?
ผ่านไปครู่หนึ่ง เยี่ยโยวเหยาจึงเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาแดงก่ำ และเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เจ้าหุบเขา ใช้ครึ่งชีวิตของข้าที่เหลือ แลกกับชีวิตของนางได้หรือไม่? ”
ความคิดของเยี่ยโยวเหยาไม่เหมือนคนทั่วไป ตอนที่มาถึงผาเก็บดาว เขาก็มองออกแล้วว่า ผู้ที่สามารถอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ได้นั้น ต้องไม่ใช่ผู้บำเพ็ญตนระดับสูงทั่วไปอย่างแน่นอน
พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าหุบเขาท่านนี้ต้องบำเพ็ญถึงระดับเทพเซียนแล้ว ทว่าไม่รู้ว่าเป็นเซียนผู้บำเพ็ญตนระดับใด
อย่างไรก็ตาม สำหรับเซียนผู้บำเพ็ญตน การใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาแลกกับชีวิตของซูจิ่นซี คงทำได้ไม่ยาก
เจ้าหุบเขาตกใจเล็กน้อย “โยวอ๋อง ใช่ว่าเจ้าหุบเขาอย่างข้าไม่ช่วยท่าน ทว่าการกระทำนี้เป็นความผิดบาป ท่านจะถูกสวรรค์ลงโทษ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างไม่ลังเล “ต่อให้ต้องฝ่าด่านเคราะห์หนักกว่านี้ ข้าก็ยอมรับได้”
สวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ทว่าไม่ยิ่งใหญ่เท่าซูจิ่นซี
เคราะห์กรรมที่หนักที่สุดในชีวิตเขาคือซูจิ่นซี อย่างอื่นไม่มีผลอันใด
ทว่าเจ้าหุบเขายังคงส่ายศีรษะ “พวกเจ้าไปเสียเถิด! คนผู้นี้ ข้าช่วยไม่ได้แล้ว! ”
พูดจบ เจ้าหุบเขาก็เดินจากไป
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็ยืนขวางอยู่ด้านหน้าเจ้าหุบเขา “วันนี้ เจ้าต้องช่วยนาง แม้จะไม่ช่วยก็ต้องช่วย! ”
เจ้าหุบเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “โยวอ๋อง ท่านไม่มีทางทำอันใดข้าได้! ”
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเป็นสีแดงก่ำ ทั้งยังทอประกายเย็นชา “เจ้าก็ทำอันใดข้าไม่ได้เช่นกัน! ”
“หากช่วยนางไม่ได้ วันนี้ ข้าจะทำลายล้างผาเก็บดาวของเจ้า! ”
เจ้าหุบเขามุมปากกระตุกเล็กน้อย
แม้ผู้ที่อยู่เบื้องหน้าจะเป็นคนธรรมดา ทว่าดวงชะตาของเขากลับไม่ธรรมดา ทั้งเขายังฝึกตนในระดับสูงมาก แม้ตอนนี้ เยี่ยโยวเหยาจะทำอันใดเขาไม่ได้ ทว่าเยี่ยโยวเหยาสามารถทำลายผาเก็บดาวของเขาได้
หากบนผาเก็บดาวมีเขาเพียงผู้เดียวก็ไม่เป็นอันใด ทว่าที่แห่งนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านจำนวนมาก ชาวบ้านเหล่านั้นล้วนเป็นคนธรรมดา!
หากไม่มีผาเก็บดาว พวกเขาต้องตายอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหุบเขายังคงดื้อรั้น “โยวอ๋อง ท่านบังคับเจ้าหุบเขาอย่างข้าไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าหุบเขาอย่างข้า ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้ บนโลกใบนี้ยังมีการบังคับขู่เข็ญผู้คนเช่นนี้อีกหรือ? หึ! ”
แม้เยี่ยโยวเหยาจะใช้อำนาจบังคับอย่างดื้อรั้น ทว่าอวิ๋นจิ่นและมู่หรงฉีกลับมองการตัดสินใจของเจ้าหุบเขาออกนานแล้ว
ในเวลานี้ อวิ๋นจิ่นโศกเศร้าอย่างมากเช่นกัน เขาเดินไปยืนเบื้องหน้าเจ้าหุบเขา และทำความเคารพ “ดั่งคำโบราณที่กล่าวว่า ช่วยชีวิตหนึ่งชีวิต สั่งสมบุญยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น หากวันนี้เจ้าหุบเขาช่วยชีวิตแม่นางทั้งสอง สำหรับเจ้าหุบเขาแล้ว ก็นับเป็นเรื่องที่ควรปฏิบัติในการฝึกตนเรื่องหนึ่ง ข้าเชื่อว่า อาศัยพลังของเจ้าหุบเขาในตอนนี้ ต้องทำได้อย่างแน่นอน ทว่าเจ้าหุบเขากลับปฏิเสธพวกข้า หรือว่ามีสิ่งใดที่ทำให้ท่านลำบากใจ”
เจ้าหุบเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ด้วยมิตรภาพระหว่างข้ากับเจ้า วันนี้ข้าควรช่วยเหลือเจ้า ทว่าข้ามีเรื่องลำบากใจจริงๆ ! ”
อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น พลางส่งสายตาสอบถาม
ทันใดนั้น เจ้าหุบเขาชี้ก็ไปยังศิลาที่ลอยอยู่กลางอากาศในระยะไกล “นั่นคือศิลาประจำผาเก็บดาวของข้า มีชื่อว่าศิลาปี้ลั่ว สาเหตุที่คนทั่วไปไม่อาจค้นพบดินแดนเสมือนจริงของผาเก็บดาว ซึ่งอยู่ใต้หน้าผานี้ได้ เป็นเพราะอาศัยศิลาปี้ลั่ว ทว่าตอนนี้ ศิลาปี้ลั่วปรากฏรอยแตกร้าว เนื่องจากข้านำไปฝึกตนและใช้ในทางที่ผิด จึงทำให้ถูกฟ้าผ่าจนได้รับความเสียหาย หากข้ายังใช้ศิลาปี้ลั่วอีกครั้ง จะทำให้ศิลาแตกสลาย เมื่อถึงเวลานั้น ผาเก็บดาวจะสูญเสียสมดุลและตกลงไป ซึ่งจะกลายเป็นหายนะอันร้ายแรงต่อผู้คนนับหมื่นที่อาศัยอยู่บนผาเก็บดาว เจ้าหุบเขาอย่างข้าจะช่วยแม่นางทั้งสองโดยไม่สนใจชีวิตของชาวบ้านได้อย่างไร? ”
ทั้งสามคนต่างหันไปมองศิลาปี้ลั่วที่เจ้าหุบเขาชี้
มีลำแสงสีฟ้าอ่อนและนกมงคลอยู่ล้อมรอบศิลาปี้ลั่ว ทว่าในแสงสีฟ้าอ่อนกลับมีแสงสีม่วงผสมอยู่เล็กน้อย เนื่องจากศิลาปี้ลั่วมีรอยแตกร้าว จึงทำให้แสงสีม่วงเหล่านั้นปรากฏออกมา
จากคำพูดของเจ้าหุบเขา ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้ลำบากใจเสียจริง
เยี่ยโยวเหยาก็มีชีวิตเพื่อประชาชนเช่นกัน หากต้องช่วยชีวิตซูจิ่นซีโดยไม่สนใจชีวิตนับหมื่น เขาเองก็ทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาเชื่อว่าซูจิ่นซีก็ไม่ต้องการ
ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมาได้ “ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่สามารถใช้แทนศิลาปี้ลั่วหรือไม่? ”
หากสามารถหาสิ่งอื่นมาทดแทนศิลาปี้ลั่วได้ ประการแรก พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ชาวบ้านที่ผาเก็บดาวตกอยู่ในอันตราย ประการที่สอง พวกเขาสามารถช่วยชีวิตซูจิ่นซีและตงหลิงหวง เรื่องนี้นับเป็นประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
ดวงตาของอวิ๋นจิ่นพลันทอประกาย “เจ้าหุบเขา หากพวกเราสามารถหาสิ่งล้ำค่ามาทดแทนศิลาปี้ลั่วได้ ท่านจะยอมช่วยชีวิตแม่นางทั้งสองหรือไม่! ”
อย่างไรก็ตาม ศิลาปี้ลั่วเป็นหินที่มีพลังวิญญาณระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์อันแข็งแกร่ง อาศัยกำลังมนุษย์เพียงสามคน หากคิดจะหาสิ่งที่มาทดแทนศิลาปี้ลั่ว คงไม่ง่ายดายเหมือนที่พูดกระมัง?