สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 23 ตอนที่ 661 วายุ อัสนี เมฆา อัคคี หมอก หยิน จันทรา วิญญาณ
- Home
- สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน
- เล่มที่ 23 ตอนที่ 661 วายุ อัสนี เมฆา อัคคี หมอก หยิน จันทรา วิญญาณ
อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธลับ ยาพิษ และของสำคัญ ล้วนเก็บไว้ด้านล่างศาลบรรพชนของสกุลถัง ด้านล่างของศาลบรรพชนเป็นพื้นที่ว่าง จึงมีการสร้างตำหนักใต้ดินที่มีบริเวณกว้างขวาง
ภายในศาลบรรพชนมียอดฝีมือทั้งแปดของสำนักถังเหมินเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ทั้งหมดล้วนเป็นท่านผู้เฒ่าและผู้อาวุโสของสำนักถังเหมินที่สืบทอดกันมา
พวกเขามีวรยุทธ์ในระดับสูงสุด ทั้งยังเป็นผู้ที่ศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์ของสำนักถังเหมินมานานหลายปี ไม่เช่นนั้น สำนักถังเหมินคงไม่ให้พวกเขาเฝ้ารักษาการณ์ที่ตำหนักใต้ดิน
ขณะนี้ เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และมู่หรงฉีกำลังต่อสู้กับพวกเขา
ยอดฝีมือทั้งแปดของสำนักถังเหมิน ได้แก่ วายุ อัสนี เมฆา อัคคี หมอก หยิน จันทรา และวิญญาณ
ในบรรดาทั้งสามคน วรยุทธ์ของมู่หรงฉีด้อยกว่าเล็กน้อย ขณะที่วรยุทธ์ของเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นกลับลึกล้ำยากหยั่งถึง
มู่หรงฉีรับมือกับวายุและอัสนี ส่วนอวิ๋นจิ่นและเยี่ยโยวเหยารับมือกับหกคนที่เหลือ โดยแยกจัดการฝ่ายละสามคน
ยอดฝีมือทั้งสามผลัดกันบุกเข้าโจมตีเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่น นับสิบกระบวนท่าแล้ว
อวิ๋นจิ่นจัดการอัคคี หมอก และเมฆา ส่วนเยี่ยโยวเหยาจัดการหยิน จันทรา และวิญญาณ
พวกเขาต่างก็มีกลยุทธ์ของตนเอง ทั้งแต่ละคนยังมีพลังภายในที่แตกต่างกัน
กระบวนท่าของอัคคีและอัสนีมีความคล้ายคลึงกัน เมื่อพวกเขาใช้พลังภายใน จะเกิดแสงเปล่งประกาย
ความเร็วของหมอกและหยินใกล้เคียงกัน พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างว่องไว ทั้งยังพรางตัวได้อีกด้วย
กระบวนท่าของจันทราและวายุใกล้เคียงกัน เมื่อวายุใช้พลังภายใน บริเวณโดยรอบจะเกิดลมพัดแรง ส่วนจันทรา เมื่อยืนอยู่บริเวณที่มีแสงจันทร์ เขาสามารถเพิ่มพลังภายในอันแข่งแกร่งได้มากกว่าปกติถึงสิบเท่า
การเคลื่อนไหวของวิญญาณและเมฆาคล้ายคลึงกัน เป็นการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาด คาดเดาได้ยาก และร้ายกาจยิ่งนัก
แม้วรยุทธ์ของยอดฝีมือทั้งแปดจะยากคาดเดา และเมื่อผสานพลังกันก็ทำให้ไร้เทียมทาน ทว่ายังมีช่องโหว่ซึ่งเป็นจุดที่สามารถทะลุทะลวงเข้าไปได้
นี่เป็นสาเหตุที่เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และมู่หรงฉี ใช้อุบายต่อสู้หลายร้อยกระบวนท่า เพื่อค้นหาช่องโหว่ ก่อนจะโจมตีไปที่จุดอ่อนนั้น
ด้วยวิธีนี้ ทำให้ทุกอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม พวกเขามาเยือนสกุลถังเพื่อขโมยของ ยิ่งใช้เวลาต่อสู้นานเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ผู้คนแตกตื่นมากเท่านั้น
สุดท้าย พวกเขาต้องต่อสู้ให้ทราบผลอย่างรวดเร็ว
เมื่อเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นจัดการยอดฝีมือเหล่านั้นเสร็จสิ้น มู่หรงฉีก็จัดการวายุและอัสนีเรียบร้อยพอดี
ยอดฝีมือทั้งแปดล้มลงบนพื้นและเสียชีวิต ไม่มีผู้ใดรอดแม้แต่คนเดียว
แววตาของทั้งสามทอประกายเย็นชา พวกเขาเก็บอาวุธที่อยู่ในมือของตน และหันหลังเดินเข้าไปในศาลบรรพชนของสกุลถัง
อวิ๋นจิ่นพบกลไกทางเข้าตำหนักใต้ดินอย่างรวดเร็ว เมื่อกลไกเปิดออกก็ปรากฏให้เห็นทางเดินเข้าเส้นทางลับ ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงประตูทางเข้าตำหนักใต้ดิน
ประตูทางเข้าตำหนักใต้ดินของสกุลถัง มีสัตว์เทพเฝ้ารักษาการณ์อยู่ 3 ตัว ได้แก่ สัตว์เทพฉงฉี สัตว์เทพเถาอู้ และสัตว์เทพปี้ฟาง
เดิมทีสำนักถังเหมินเป็นเพียงตระกูลธรรมดา นึกไม่ถึงว่าพวกเขาสามารถสร้างตำหนักใต้ดินไว้ด้านล่างศาลบรรพชน ทั้งยังมีสัตว์เทพที่ร้ายกาจเฝ้าปกปักรักษาอยู่ด้วย สัตว์เทพทั้งสามเป็นสัตว์ในตำนานโบราณที่เล่าสืบต่อกันมา แม้แต่ละตัวจะมีระดับการฝึกบำเพ็ญตนต่ำไปบ้าง ทว่ายังคงเป็นเรื่องยากที่จะมีสัตว์เทพไว้ในครอบครอง กลับไม่คิดว่าสกุลถังสามารถครอบครองไว้ถึงสามตัว
ผู้คนภายนอกไม่มีทางทราบได้เลยว่า สกุลถังมีเบื้องหลังที่ลึกล้ำเช่นนี้
ดูไปแล้ว สำนักถังเหมินช่างซับซ้อน
เยี่ยโยวเหยาชักกระบี่เสวียนหยวนออกมา อวิ๋นจิ่นและมู่หรงฉีต่างก็นำอาวุธของตนออกมาเช่นกัน แววตาของพวกเขาทอประกายเย็นชา
“โยวอ๋อง พระองค์จะจัดการตัวใด? ” อวิ๋นจิ่นถาม
“สัตว์เทพฉงฉี! ” เยี่ยโยวเหยาเลือกตัวที่ร้ายกาจที่สุด
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น กระหม่อมจะจัดการสัตว์เทพเถาอู้! ”
สัตว์เทพปี้ฟางให้มู่หรงฉีไป
ทั้งสามไม่รีรอ รีบพุ่งเข้าต่อสู้กับสัตว์เทพทั้งสามทันที
แผ่นหลังของสัตว์เทพฉงฉีมีเขาแหลมคม ทั้งยังมีนิสัยดุร้ายอย่างมาก ร่างกายของมันแข็งแกร่ง แม้กระบี่เสวียนหยวนจะเป็นกระบี่โบราณล้ำค่าที่สามารถตัดเหล็กดำให้ขาดออกจากกัน ทว่ามันไม่อาจตัดร่างที่แข็งแกร่งของสัตว์เทพฉงฉีได้เลย
สัตว์เทพเถาอู้มีปีกที่กว้างใหญ่ มันสามารถบินได้ดั่งใจนึก ขณะที่บินยังใช้ปีกเป็นอาวุธได้อีกด้วย ด้านหลังมีหางยาวอันแข็งแรงและทรงพลัง หากตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบยามที่ใช้ปีกต่อสู้ มันสามารถใช้หางโจมตีได้อย่างไร้ร่องรอย
สัตว์เทพปี้ฟางมีขนาดลำตัวเท่ากับสุนัขจิ้งจอก ใบหน้าเรียวยาวเหมือนละมั่ง มีสามหาง อาวุธหลักที่ใช้ในการต่อสู้คือของวิเศษสองชิ้นที่อยู่บนตัว สิ่งแรกคือกระดิ่งมู่ซือที่แขวนอยู่บนหน้าอก อีกสิ่งหนึ่งคือหยกโลหิตที่ฝังอยู่บริเวณหางของมัน ซึ่งสามารถทำให้ศัตรูสูญเสียสติสัมปชัญญะในระหว่างการต่อสู้
เยี่ยโยวเหยาต่อสู้กับสัตว์เทพฉงฉี คราแรก สัตว์เทพฉงฉีเป็นฝ่ายได้เปรียบ เนื่องจากกระบี่เสวียนหยวนไม่สามารถตัดผ่านร่างกายของสัตว์เทพฉงฉีได้ เยี่ยโยวเหยาจึงไม่มีโอกาสสังหารมัน
ต่อมา เยี่ยโยวเหยาพบจุดอ่อนของสัตว์เทพฉงฉี และโจมตีไปยังจุดอ่อนของมัน ทำให้เยี่ยโยวเหยาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
เยี่ยโยวเหยาในตอนนี้มีวิชายุทธจิ่วเซียวขั้นเจ็ด เมื่อค้นพบจุดอ่อนของสัตว์เทพฉงฉีแล้ว การจัดการกับมันก็ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์และเวลาเท่านั้น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าพลังที่แท้จริงของอวิ๋นจิ่นอยู่ในระดับใด อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนวิชาตัวเบาของเขาจะอยู่ในขั้นที่ดีมาก อาวุธที่เขาใช้คือเข็มเงิน แม้สัตว์เทพเถาอู้จะบินได้ ทว่ามันเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรกเริ่ม และไม่สามารถเอาชนะอวิ๋นจิ่นได้เลย
หากไตร่ตรองถึงกลวิธีของอวิ๋นจิ่นอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่า แท้จริงแล้ว เขาสามารถจัดการสัตว์เทพเถาอู้ได้ตั้งนานแล้ว ทว่าเขาตั้งใจถ่วงเวลา ไม่คิดสังหารสัตว์เทพ
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่หรงฉีจัดการกับสัตว์เทพ อย่างไรก็ตาม สัตว์เทพปี้ฟางเป็นสัตว์เทพที่อันตรายน้อยที่สุด ทว่าสิ่งที่ร้ายกาจคือ ของวิเศษสองชิ้นบนร่างกายของมัน ซึ่งทำให้จิตใจของคนสับสนและขาดสติ
ขณะที่เริ่มต่อสู้ มู่หรงฉีสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะของวิเศษสองชิ้นนี้ถึงสองครั้ง แต่เขาสามารถทำลายพลังควบคุมของของวิเศษได้อย่างรวดเร็ว และกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบ
หลังจากเยี่ยโยวเหยาสังหารสัตว์เทพฉงฉีได้ในกระบี่เดียว และอวิ๋นจิ่นลงมือสังหารสัตว์เทพเถาอู้ ต่อมา มู่หรงฉีก็ลงมือสังหารสัตว์เทพปี้ฟาง
สัตว์เทพทั้งสามจบชีวิตลง ในไม่ช้า ร่างกายที่กลายเป็นเถ้าถ่านก็ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทันใดนั้น ตำแหน่งเดิมที่เป็นร่างกายของพวกมันก็ปรากฏยาวิเศษขึ้นมาสามเม็ด
อวิ๋นจิ่นหยิบยาวิเศษทั้งสามเม็ดขึ้นมา เขานำยาวิเศษของสัตว์เทพฉงฉีมอบให้เยี่ยโยวเหยา นำยาวิเศษของสัตว์เทพปี้ฟางมอบให้มู่หรงฉี และเก็บยาวิเศษของสัตว์เทพเถาอู้ไว้กับตนเอง
“แม้พวกมันจะเป็นสัตว์เทพดุร้าย ทว่าหากกินยาวิเศษของพวกมัน ก็จะช่วยในการฝึกฝนพลังภายในได้”
ตั้งแต่ที่เยี่ยโยวเหยาฝึกฝนวิชายุทธจิ่วเซียวถึงขั้นเจ็ดสำเร็จ เขายังไม่อาจเพิ่มระดับขั้นได้เลย การได้รับยาวิเศษจากสัตว์เทพฉงฉี สามารถช่วยเพิ่มระดับพลังในการฝึกฝนวิชายุทธจิ่วเซียวได้ ทว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมในการใช้ยาวิเศษ
การใช้ยาวิเศษนี้ จำเป็นต้องใช้สมาธิปรับสมดุลพลังลมปราณ ทว่าเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ การตามหาไข่มุกทะเลใต้พิภพเพื่อนำไปใช้แทนศิลาปี้ลั่วที่ผาเก็บดาว และช่วยชีวิตซูจิ่นซีกับตงหลิงหวง
หลังจากจัดการสัตว์เทพทั้งสามตัวได้แล้ว อวิ๋นจิ่นก็ค้นพบกลไกเปิดประตูตำหนักใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ประตูอันหนักอึ้งถูกเปิดออก กลิ่นตะเกียงหมื่นปีที่ถูกเผาไหม้เป็นเวลานานค่อยๆ ส่งกลิ่นออกมา ทว่าไม่มีบรรยากาศของความเสื่อมโทรมและความชื้น
โดยทั่วไปแล้ว ตำหนักใต้ดินที่ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน เช่นนี้ จะต้องมีบรรยากาศของความเสื่อมโทรมและความชื้น ทว่าตำหนักใต้ดินของสำนักถังเหมินกลับไม่เป็นเช่นนั้น ตำหนักใต้ดินทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยเทคนิคด้านกลไกและสมุนไพรของสำนักถังเหมิน
สำนักถังเหมินโดดเด่นทางด้านกลไกและอาวุธลับ ในเมื่อเป็นสถานที่สำคัญเช่นนี้ ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงกลไกและอาวุธลับได้อย่างแน่นอน
เมื่อเดินเข้าประตูไป พวกเขาทั้งสามก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น
“หากเป็นกลไกทั่วไป เมื่อมีคนนอกผลักประตูเข้ามา กลไกที่ติดตั้งไว้ก็จะทำงาน ทว่าประตูของตำหนักใต้ดินกลับไม่เป็นเช่นนั้น ต้องมีกลไกข้างในเป็นแน่ พวกท่านระวังตัวด้วย”
เยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉีพยักหน้าพร้อมกัน
ทว่าพวกเขาเพิ่งพยักหน้า สีหน้าของมู่หรงฉีก็เปลี่ยนไปในทันที