สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 23 ตอนที่ 680 ไม่ให้เจ้าเป็นอันใด
อวิ๋นจิ่นยืนอยู่ใกล้ซูจิ่นซีมาก เพียงพริบตา เข็มเงินสองเล่มก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอวิ๋นจิ่น ทว่าเขากลับยืนนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังไม่กะพริบตาอีกด้วย
เมื่อเข็มเงินอยู่ห่างจากดวงตาของเขาเพียงครึ่งชุ่น ทันใดนั้น ร่างของอวิ๋นจิ่นก็พลิ้วไหวเอนไปด้านหลังดั่งปุยเมฆ มือข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ดึงแขนที่ถือเข็มเงินของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีใจดำอำมหิต นางไม่มีความคิดว่าจะยอมแพ้หรือหยุดการกระทำ อย่างไรก็ตาม นางไม่คิดเลยว่าอวิ๋นจิ่นจะทำเช่นนี้ นางไม่ทันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
ท่ามกลางความตกใจที่ถูกอวิ๋นจิ่นใช้กำลังดึงแขน ทำให้ร่างกายของซูจิ่นซีสูญเสียการทรงตัว และพุ่งไปด้านหน้า
เมื่อเห็นว่าตนเองกำลังจะล้มทับอยู่บนร่างของอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซีจึงรีบยื่นมือออกไปต้านร่างกายของเขาไว้ ทว่านางไม่ต้องการวางมือลงบนซี่โครงของอวิ๋นจิ่น การเสียหลักอย่างกะทันหัน ทำให้นางล้มคว่ำลงไปอย่างรวดเร็ว เวลานี้ ปฏิกิริยาตอบโต้ของร่างกายรวดเร็วกว่าความคิด มือของนางโอบเอวของอวิ๋นจิ่น ริมฝีปากของนางเกือบจุมพิตอวิ๋นจิ่น โชคดีที่หยุดได้ทัน
ตอนนี้ ร่างกายของพวกเขาแนบชิดกัน จมูกต่อจมูก ตาต่อตา ริมฝีปากของทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งชุ่นเท่านั้น
ซูจิ่นซีสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงอุณหภูมิร่างกายของอวิ๋นจิ่นที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น ทว่ามีความเย็นสบาย และกลิ่นไอเย็นจางๆ ของอากาศบริสุทธ์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหุบเขาเทียนอี
มือของนางกอดแนบอยู่ด้านหลังเอวของอวิ๋นจิ่น นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอวิ๋นจิ่นมีรูปร่างดี กล้ามเนื้อใต้มือตึงแน่นอย่างมาก
“ตุบ… ตุบ… ตุบ… ”
เสียงบางอย่างที่ทรงพลังยิ่งกว่าเสียงต่อสู้ ดังชัดเจนเข้ามาในหูของซูจิ่นซี ขณะเดียวกัน เสียงนั้นได้ปลุกความคิดที่ล่องลอยของซูจิ่นซีให้ฟื้นคืนมา
ซูจิ่นซีตั้งสติ ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่ามันคือเสียงหัวใจของนางและอวิ๋นจิ่น ทันใดนั้น แก้มของนางก็แดงก่ำ ไม่เว้นแม้แต่เปลือกตาและลำคอ นางรีบผละมือตนเองออกจากอวิ๋นจิ่น ทว่ากลับถูกอวิ๋นจิ่นรั้งไว้แน่นจนดึงออกไม่ได้
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น พลางสบสายตาอวิ๋นจิ่น ในแววตาของนางมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย อวิ๋นจิ่นก็ดูมีท่าทีผิดปกติเช่นกัน เขาค่อยๆ ปล่อยมือ ซูจิ่นซีจึงผละตัวออกมาและรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหลังกลับด้วยท่าทีเขินอาย
อวิ๋นจิ่นมองปฏิกิริยาของซูจิ่นซี มุมปากพลันเผยรอยยิ้ม เมื่อเขาลุกขึ้น เสื้อผ้าบนร่างของเขาไม่มีรอยยับย่นแม้แต่น้อย
เดิมที สถานการณ์ก็น่าอึดอัดมากพออยู่แล้ว ไม่คิดว่าอวิ๋นจิ่นจะเดินมายังข้างกายซูจิ่นซี และโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างใบหูของนางว่า “พระชายา แก้มของพระองค์แดงอีกแล้ว ให้กระหม่อมช่วยดูเถิด ร่างกายเจ็บป่วยต้องรีบรักษา ไม่อาจปิดบังหมอได้”
ตอนที่พูด ท่าทางของอวิ๋นจิ่นดูเคร่งขรึมเหมือนหมอที่เป็นห่วงผู้ป่วยจริงๆ ราวกับไม่เคยมีแผนชั่วร้ายในใจ และเมื่อครู่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ซูจิ่นซีกัดฟันอย่างช่วยไม่ได้ นางกำหมัดแน่น อยากกัดอวิ๋นจิ่นให้รู้แล้วรู้รอด
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังคิดหาหนทางเอาชนะอวิ๋นจิ่น และนำความเสียเปรียบทั้งหมดของตนกลับคืนมา ห่างออกไป องค์หญิงที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายพลันส่งเสียงร้องอันน่าสลดออกมาด้วยความเจ็บปวด คนเผ่าอวิ๋นหุนมององค์หญิงที่ถูกเสือดาวกัดแขนจนเลือดโชกด้วยความตกใจ
อาอวี่รีบวิ่งตรงมาหาซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่น “แม่นาง คุณชาย องค์ชายและองค์หญิงของพวกเราจะไม่ไหวแล้ว ได้โปรดรีบจัดการ โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด! ”
ท่าทางของซูจิ่นซีเปลี่ยนเป็นจริงจัง นางตอบรับและหยิบกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมาเตรียมจัดการ ทว่ากลับถูกอวิ๋นจิ่นรั้งไว้
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังมึนงง อวิ๋นจิ่นก็ยกมือขึ้น “ไป กิเลน เก้าหาง! ”
กิเลนและจิ้งจอกเก้าหางที่กำลัง ‘โอบกอดกันอย่างอาวรณ์’ อยู่ด้านข้าง เมื่อได้รับคำสั่งจากอวิ๋นจิ่น ท่าทางของพวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายในพริบตา
กิเลนค่อยๆ ขยายขนาดตัวให้ใหญ่ขึ้น จนกลับมาอยู่ในร่างเดิม ทั่วทั้งร่างของจิ้งจอกเก้าหางเปล่งแสงออกมา ร่างของมันสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย หางทั้งเก้ากวัดแกว่งไปมากลางอากาศแผ่วเบา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีที่แตกต่างกัน
แม้พวกเขาจะจดจ่ออยู่กับองค์หญิงและองค์ชายของตน ทว่าเมื่อสัตว์เทพกิเลนและสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าหางเผยร่างที่แท้จริงออกมาให้เห็น คนเผ่าอวิ๋นหุนก็ไม่สามารถปกปิดอาการตกใจและตื่นตระหนกเอาไว้ได้
“สัตว์เทพกิเลน? แท้จริงแล้วคือสัตว์เทพกิเลน… ”
“สัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสี? แท้จริงแล้ว จิ้งจอกน้อยตัวนี้ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าหางชิงชิว ทว่ายังเป็นสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสีในหมู่สัตว์เทพจิ้งจอกเก้าหาง… ”
ตำแหน่งของสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสีในเผ่าจิ้งจอกนั้นไม่ต่ำต้อยแน่นอน เรียกได้ว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ของเผ่าจิ้งจอกเก้าหางชิงชิว
ซูจิ่นซีมองหางเก้าสีของจิ้งจอกน้อยที่หักเหภายใต้แสงแดดร้อนแรงโดยไม่ละสายตา ในใจเต็มไปด้วยความคิดมากมาย
จากสถานะและตำแหน่งของจิ้งจอกน้อยในชิงชิว แม้มันจะทำความผิดร้ายแรง ทว่ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถลงโทษมันได้ เช่นนั้น มันเร่ร่อนมาถึงดินแดนสือฮวงจิ่วได้อย่างไร?
สัตว์เทพกิเลนและสัตว์เทพจิ้งจอกเก้าสี ก้าวเข้าสู่สภาวะสงครามเป็นที่เรียบร้อย มันค่อยๆ เหยียบย่างเข้าไปในสนามรบทีละก้าว
ไม่ไกลจากฝูงสัตว์ร้ายนัก สัตว์เทพกิเลนยืนคำรามเสียงต่ำไปทางฝูงสัตว์ร้าย “โฮก” เหล่าสัตว์ร้ายที่กำลังไล่ล่าองค์ชายและองค์หญิงอย่างบ้าคลั่งพลันหยุดชะงัก ร่างกายของพวกมันสั่นเทาเล็กน้อย ก่อนจะก้าวถอยหลังออกไปอย่างเชื่องช้า
เห็นได้ชัดว่าสัตว์เทพกิเลนควบคุมพวกมันไว้ชั่วคราว ขณะที่เสือและเสือดาวกำลังล่าถอย ความดุร้ายและสัญชาตญาณสัตว์ป่าในดวงตาของพวกมันยังคงเหมือนเดิม อุ้งเท้าสีขาวที่มีกรงเล็บคมกริบวางไว้ด้านหน้า เตรียมพร้อมโจมตีทุกเมื่อ
งูเหลือมสี่ตัวค่อยๆ ขดตัว และอ้าปากแลบลิ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง พลังดุร้ายของพวกมันไม่ลดลงแม้แต่น้อย
ทันทีที่สบโอกาส พวกเขาต่างเข้าไปช่วยประคององค์ชายและองค์หญิงออกมา
เมื่อองค์หญิงล้มลงบนพื้น พลังของนางก็สูญสิ้น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง
องค์ชายรีบเข้าไปประคององค์หญิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเป็นกังวล “อาอิน เจ้าอดทนหน่อย ทนอีกหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปพบหมอเวทเดี๋ยวนี้”
ขณะที่พูด สายตาขององค์ชายก็มองไปยังแขนขององค์หญิงที่ถูกเสือดาวกัด เลือดยังไหลออกมาไม่หยุด เสื้อผ้าของนางขาดวิ่น จนเห็นไปถึงผิวเนื้อและกระดูก ดูน่ากลัวอย่างมาก
น้ำเสียงและแววตาขององค์ชายพลันเย็นชา “หมอเวทเล่า? ยังไม่มาอีกหรือ? ”
ทุกคนในเผ่าอวิ๋นหุนพยายามสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียง
อาจูก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง “องค์… องค์ชาย ท่านหมอเวทตายแล้ว ตั้งแต่เผ่าสวรรค์บุกรุกเข้ามา ลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่ต่อสู้กับโลกเขตแดนก็ตายในสนามรบ ไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว”
“ตายแล้ว? ”
ประกายแห่งความสิ้นหวังวาบผ่านเข้ามาในดวงตาขององค์ชาย เขามองใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษขององค์หญิง ดวงตาปรากฏความอ่อนโยนและเจ็บปวด ก่อนจะกอดองค์หญิงไว้แน่น “อาอิน เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเป็นอันใด ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าเป็นอันใดไป”
องค์ชายพูดพลางฉีกเสื้อผ้าเปื้อนเลือดบนร่างของตน และรีบพันแผลที่แขนขององค์หญิง ทว่าอาการบาดเจ็บนั้นสาหัสเกินไป เลือดยังคงไหลไม่หยุด ทันทีที่พันแผล ผ้าก็เปียกชุ่มไปด้วยเลือด ทั้งเลือดที่ไหลทะลักออกมาก็ปนไปด้วยก้อนเลือด
แววตาขององค์ชายยิ่งสิ้นหวัง เขาถอดเสื้อผ้าของตนออกมาพันแขนขององค์หญิง
ผ่านไปไม่นาน เลือด… ก็ยังคงเปียกชุ่ม