สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 24 ตอนที่ 701 ด้ายแดงคล้องมือดั่งสายสัมพันธ์คล้องใจ
ด้ายแดงคล้องมือ ดั่งสายสัมพันธ์คล้องใจ
จิ่วหรงพาซูจิ่นซีเดินผ่านฝูงชนที่พลุกพล่าน ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ด้านข้างสะพานพรหมลิขิต
หญิงชราอายุครึ่งร้อยนางหนึ่งเดินเข้ามา
“พวกเจ้าทั้งสองต้องการดึงด้ายแดงหรือไม่? ลองดูสิ! หากชะตาลิขิตไว้แล้ว ต้องได้รับคำตอบที่น่าพอใจจากสวรรค์เป็นแน่ สะพานพรหมลิขิตศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก”
ซูจิ่นซีแก้มแดงระเรื่อ ทว่าไม่พูดอันใด
จิ่วหรงเม้มริมฝีปากพลางกำหมัดแผ่วเบา ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้หน้าผากของซูจิ่นซี
“ซีเอ๋อร์… ”
“หืม? ”
“พวกเราลองดูเถิด! หากมีโชคชะตาต่อกัน อาจารย์ให้สัญญาเจ้า ต่อไปในภายภาคหน้า อาจารย์จะไม่ปล่อยมือเจ้าอีก แม้สี่สมุทรแปดพิภพจะสูญสิ้น อาจารย์จะยอมให้เจ้าอยู่เคียงข้างอาจารย์ เป็นอย่างไร? ”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจคำพูดของจิ่วหรงนัก ทว่าคำสำคัญบางคำ นางกลับจดจำได้ขึ้นใจ
หัวใจของนางยังคงเต้นระรัว ดวงตาสุกสกาวมองไปยังจิ่วหรงและพยักหน้าแผ่วเบา
จิ่วหรงปล่อยมือซูจิ่นซี ก่อนจะเดินไปยังอีกด้านหนึ่งของปลายสะพานพรหมลิขิต
เมืองเล็กๆ นี้มีกลิ่นอายโบราณ ทั้งยังตัดขาดจากโลกภายนอก
ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายอย่างมาก พวกเขาไม่เคยเห็นบุรุษและสตรีที่มีรูปลักษณ์สง่างามเช่นนี้มาก่อน
คนเกือบทั้งเมืองมารวมตัวกัน จนบริเวณสะพานแน่นขนัดไปด้วยผู้คน
บุรุษและสตรีที่ยืนอยู่ตรงปลายสะพานทั้งสองฟาก เป็นบุคคลที่พวกเขาไม่เคยพบเห็น
บุรุษสวมชุดสีฟ้าอ่อน ชายเสื้อคลุมยาว และแขนเสื้อกว้าง เครื่องแต่งกายทำมาจากเนื้อผ้าชั้นดี แม้จะถูกลมพัด ทว่าเสื้อผ้าของเขาไม่มีรอยยับแม้แต่น้อย
เส้นผมดำขลับพาดยาวอยู่ด้านหลัง ตัดกับชุดสีฟ้าสว่าง ดูงดงามจนผู้คนไม่อาจละสายตา
แท้จริงแล้ว นับเป็นใบหน้าที่งดงามคมสันที่สุดของบุรุษ
ดวงตาคู่งามราวกับพระจันทร์บนท้องฟ้า สันจมูกโด่ง คิ้วคมเข้ม โครงแก้มนุ่มนวล ทุกกระเบียดนิ้วราวกับของขวัญจากพระเจ้า
ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
งดงามเสียจนโลกต้องสั่นสะเทือน ภูเขาแม่น้ำพากันอิจฉา
หากกล่าวถึงสตรีนางนั้น
นางมีรูปร่างเล็ก งดงาม และน่ารัก
วันนี้นางสวมชุดสีขาวหิมะที่ชายกระโปรงและแขนเสื้อกว้าง เช่นเดียวกับชุดของบุรุษผู้นั้น
เส้นผมดำขลับพาดยาวอยู่ด้านหลัง มวยผมปักด้วยปิ่นต้นท้อเรียบง่าย ทว่ามีเสน่ห์จนผู้คนไม่อาจละสายตาได้
คิ้วบางสีเข้ม ดวงตาสุกสกาวราวกับหมู่ดาว สันจมูกเล็ก ริมฝีปากแดงราวกับผลอิงเถา
อากัปกิริยาพวกเขาสูงส่งและไม่ธรรมดา ราวกับเทพบนสวรรค์ชั้นฟ้าลงมาจุติ
พวกเขายืนอยู่ที่ปลายทั้งสองฝั่งของสะพานพรหมลิขิต สายลมพัดผ่าน ชุดสีฟ้าและสีขาวของพวกเขาปลิวไสวในอากาศอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน พวกเขาต่างก้มลงหยิบด้ายแดงบนพื้นขึ้นมาพันรอบมือช้าๆ
ยิ่งพันด้ายแดงรอบมือมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งเข้าใกล้กลางสะพานมากขึ้นเท่านั้น ทว่าพวกเขายังมองไม่เห็นอีกฝ่ายที่อยู่บนสะพานพรหมลิขิต
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนรู้จัก ทว่าผู้คนที่มายืนมุงรอบสะพานกลับประหม่า ประหม่ายิ่งกว่าการรอด้ายแดงของคนที่ตนรู้จัก ถูกดึงไปถึงคนรักเสียอีก
เมื่อระยะห่างของซูจิ่นซีและจิ่วหรงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พวกเขาก็ยิ่งประหม่าจนไม่กล้าหายใจ
ทีละก้าว… ทีละก้าว… ทีละก้าว
ในที่สุด ทั้งสองก็มาถึงกลางสะพาน วินาทีที่เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย พวกเขาต่างหยุดเดินและสบตากันและกัน
“คล้องเข้าหากันหรือไม่? ”
“คล้องเข้าหากันหรือไม่? ”
“เป็นอย่างไรบ้าง? รีบเอามาให้ข้าดูหน่อย… ”
“อย่าเบียดกัน ให้ข้าดูก่อน! ”
ผู้คนที่อยู่รอบสะพานเป็นกังวลเรื่องด้ายแดงในมือของพวกเขาทั้งสอง ยิ่งกว่าซูจิ่นซีและจิ่วหรงเสียอีก พวกเขาต่างเงยหน้ามองไปยังทิศทางของคนทั้งสอง
น่าเสียดายที่มองไม่เห็นอันใดแม้แต่น้อย
แม้จะพบกันแล้ว ทว่ายังเหลือด้ายแดงอีกกว่าครึ่งที่ถูกด้ายแดงเส้นหนากั้นไว้ พวกมันพันกันจนสับสน ทำให้มองไม่เห็นผลลัพธ์
“แม่นาง คุณชาย พวกท่านยังต้องเดินต่อ… ”
“ใช่แล้ว! เดินต่อ! จะเห็นผลลัพธ์ทั้งหมดก็ต่อเมื่อม้วนเก็บจนหมด! ”
“ใช่แล้ว! เร็ว พันเข้าเร็ว… ”
สายลมพัดโชยอ่อน เส้นผมปลิวไสว
ทุกครั้งที่เส้นผมปลิวไสว เพื่อพยายามผูกพันกับอีกฝ่ายอย่างสุดกำลัง
อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่พยายามอย่างสุดกำลัง กลับกลายเป็นเพียงเรื่องราวที่ผ่านเลยไป
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก และยกยิ้มเล็กน้อย
นางพันด้ายแดงในมือ และเดินไปทางจิ่วหรงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับพันด้ายแดงรอบมือตนเอง
ด้ายแดงแห่งพรหมลิขิตที่พันรอบมือซูจิ่นซี อยู่ในสายตาของจิ่วหรง ราวกับว่ามันกำลังพันรอบหัวใจของเขา รัดแน่นจนเริ่มหายใจไม่ออก
“คุณชาย พันด้ายสิ! เหตุใดจึงเอาแต่ยืนนิ่งเล่า? ”
“ใช่แล้ว คุณชายต้องทำให้ถึงที่สุด! ปล่อยให้แม่นางทำฝ่ายเดียวไม่ได้! ”
“ใช่แล้ว! พรหมลิขิตต้องร่วมแรงร่วมใจกันจึงจะนำมาซึ่งความสุข! ”
…….
ผู้คนเห็นจิ่วหรงไม่ขยับ จึงพูดเร่งรัด
ทว่าจิ่วหรงยังคงยืนนิ่ง แววตาล้ำลึกจับจ้องไปยังด้ายแดงที่ซูจิ่นซีค่อยๆ พันรอบมือ
ในที่สุด ระยะห่างระหว่างทั้งสองก็เหลือเพียงสามก้าว ด้ายแดงก็เหลือไม่มากแล้วเช่นกัน
เพียงทั้งคู่เดินไปข้างหน้าอีกคนละหนึ่งก้าวก็จะเห็นผลลัพธ์ของด้ายแดงที่พันรอบมือได้ชัดเจน ว่าด้ายแดงของทั้งคู่เป็นเส้นเดียวกันหรือไม่
ทั้งคู่มีพรหมลิขิตต่อกันหรือไม่!
ทุกคนต่างกลั้นหายใจ เบิกตามองอย่างละเอียดโดยไม่กล้ากะพริบตา เพราะกลัวจะพลาดเหตุการณ์อันแสนวิเศษ
ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ก้าวมาถึง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เท้าของซูจิ่นซีกำลังจะแตะพื้น จิ่วหรงก็ยกแขนเสื้อกว้างขึ้น… ด้ายพรหมลิขิตนับหมื่นนับพันเส้นบนพื้นพลันลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับแถบผ้าหลากสี มันล้อมรอบจิ่วหรงและซูจิ่นซีไว้ตรงกลาง
จิ่วหรงก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมกอด
ซูจิ่นซีเพียงต้องการเห็นผลลัพธ์ของด้ายแดงที่พันรอบมือ ทว่าคาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ นางทั้งตกใจ ทั้งตื่นตระหนก
ท่ามกลางความตื่นตระหนกนั้น จิ่วหรงโน้มตัวลงมาจุมพิตริมฝีปากของซูจิ่นซีแผ่วเบา
ด้ายแดงหลายพันเส้นโอบล้อมพวกเขาเอาไว้ กระทั่งอากาศก็ผ่านเข้ามาไม่ได้ แม้ด้านนอกจะมีผู้คนมากมาย ทว่าไม่มีผู้ใดเห็นว่าเกิดอันใดขึ้นกับพวกเขาทั้งสองที่อยู่ภายในวงล้อมของด้ายแดง
ท่ามกลางวงล้อมด้ายแดง ซูจิ่นซีเบิกตากว้าง ลมหายใจขาดห้วง นางจ้องใบหน้าที่อยู่ใกล้ตนเองมากอย่างไม่เชื่อสายตา
ริมฝีปากเย็นเฉียบของจิ่วหรงประกบอยู่บนริมฝีปากสีแดงดั่งผลอิงเถาของซูจิ่นซี ทว่าแผ่วเบาราวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นลงบนผิวน้ำกลางทะเลสาบ ไม่ได้ล่วงเกิน ไม่ได้ร้อนแรง ไม่ได้ฉกชิม
ไม่มีการกระทำอื่นใดแม้แต่น้อย
ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่วหรงจึงผละริมฝีปากออกจากริมฝีปากสีแดงดั่งผลอิงเถาของซูจิ่นซี
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ตุบ’ ด้ายแดงหลายพันเส้นขาดสะบั้นกลางอากาศ ก่อนจะร่วงหล่นลงมา…
เส้นด้ายปกคลุมไปทั่วอากาศราวกับฝนสีแดง
ซูจิ่นซีมองร่างคุ้นเคยที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง นางต้องการพูด ต้องการถาม ทว่านางกลับพูดไม่ออก ถามไม่ออก
ท่าทางของจิ่วหรงดูเหม่อลอย แววตาปรากฏความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้ เขายื่นมือออกมาลูบแก้มของซูจิ่นซีแผ่วเบา
นิ้วมือของเขาทอประกายแสงสว่างของพลังวิเศษ
ซูจิ่นซีราวกับรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง ดวงตาทั้งสองของนางเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“อาจารย์ ท่าน… ท่านจะทำอันใดซีเอ๋อร์? ท่านคิดจะทำอันใด? “