สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 24 ตอนที่ 702 จักรวรรดิต้าฉินและบุญคุณความแคว้นของเชื้อพระวงศ์
- Home
- สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน
- เล่มที่ 24 ตอนที่ 702 จักรวรรดิต้าฉินและบุญคุณความแคว้นของเชื้อพระวงศ์
จิ่วหรงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
เขาไม่พูดสิ่งใด แสงสว่างที่ปลายนิ้วทรงอานุภาพมากขึ้น ซูจิ่นซีเอาแต่ส่ายศีรษะไม่หยุด น้ำตาไหลอาบสองแก้ม
นางพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “อาจารย์ ไม่เอา ไม่เอา! อย่าลบความทรงจำซีเอ๋อร์ ไม่เอา… ซีเอ๋อร์ไม่อยากลืมท่านอาจารย์ ไม่ต้องการ!”
จิ่วหรงลูบแก้มซูจิ่นซีอย่างนุ่มนวล “ซีเอ๋อร์วางใจ ซีเอ๋อร์จะไม่ลืมอาจารย์ อาจารย์เพียงลบความทรงจำในวันสองวันนี้ของซีเอ๋อร์เท่านั้น”
แม้ซูจิ่นซีจะไม่รู้ว่าจิ่วหรงหมายความว่าอย่างไร ทว่านางยังคงส่ายศีรษะอยู่เช่นนั้น
นางไม่อยากลืมจิ่วหรง ไม่อยากลืมอาจารย์ ไม่อยากสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับอาจารย์ไป
มีบางคำที่จิ่วหรงต้องการบอกซูจิ่นซี ทว่าไม่สามารถบอกได้
ราวกับเขาถูกลิขิตให้ต้องแบกรับความเจ็บปวดไว้เพียงผู้เดียว
ซีเอ๋อร์ ลิขิตสวรรค์การกลับชาติมาเกิด โชคชะตาของเจ้าและข้านั้นควบคุมไม่ได้
อาจารย์เพียงกลัวว่าวันข้างหน้าจะไม่มีโอกาสได้อยู่กับเจ้าเพียงลำพังอีก ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่มีพรหมลิขิตต่อกันอีกแล้ว
ดังนั้น ข้าจึงลบความทรงจำในพันปีก่อนชั่วคราว เพื่อให้เจ้าได้ย้อนอดีตไปกับอาจารย์ ช่างเป็นสามวันที่หาได้ยากยิ่ง
ท้ายที่สุด ตบะของอาจารย์ก็มีขีดจำกัด ทั้งยังทนได้อีกไม่นาน มีเวลาให้เจ้าและข้าได้เพียงสามวันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เวลาสามวันของเผ่าสวรรค์ เทียบกับบนโลกมนุษย์ก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
วงล้อแห่งโชคชะตาไม่อาจย้อนคืน ไม่เช่นนั้นจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ อาจารย์ไม่หวาดกลัว ทว่าไม่อาจให้เจ้าติดร่างแหไปด้วย จึงทำได้เพียงปล่อยเจ้ากลับคืนสู่โลกมนุษย์
ซีเอ๋อร์ ระยะเวลาสามวันนี้ สำหรับอาจารย์แล้วช่างหาได้ยากยิ่ง และเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในช่วงชีวิตหลายพันหลายหมื่นปีที่ผ่านมา
ทว่าความทรงจำของเจ้า อย่างไรอาจารย์ก็ต้องลบมัน
ซีเอ๋อร์ อาจารย์ขอโทษ โชคชะตา… ไม่อาจฝืนได้
เมื่อความทรงจำตลอดสามวันที่ผ่านมาของซูจิ่นซีถูกลบเลือน ดวงตาของนางพลันมืดลง ก่อนจะหมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซูจิ่นซีอยู่ที่ไร่แห่งหนึ่งด้านนอกแคว้นหนานหลี กลิ่นยาลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ
ซูจิ่นซีรู้สึกปวดศีรษะราวกับจะระเบิด นางพยายามหยัดกายลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก รู้สึกเพียงความมึนงง
นางสะบัดศีรษะอย่างแรง พยายามให้ตนเองกลับมาได้สติ
ความทรงจำบางอย่างชัดเจนในจิตใจ ทว่าความทรงจำบางส่วนกลับเลือนราง
นางพยายามนึกถึงความทรงจำอันแสนเลือนรางเหล่านั้น ทว่ายิ่งนึกเท่าไร ความทรงจำก็ยิ่งจางหาย ท้ายที่สุดก็กลายเป็นความว่างเปล่า
ยิ่งคิด ยิ่งปวดศีรษะ
นางได้ยินบางอย่างจากด้านนอกห้อง เสียงฝีเท้าถี่กระชั้นดังใกล้เข้ามา คนผู้หนึ่งช่วยตรวจชีพจรตามจุดต่างๆ บนร่างกายของนาง
อาการปวดศีรษะบรรเทาลงเล็กน้อย การรับรู้ของซูจิ่นซีค่อยๆ ชัดเจนขึ้น จึงเห็นว่าเบื้องหน้าคือผู้ใด
นางมองไปรอบห้อง “อวิ๋นจิ่น เหตุใด… พวกเราถึงมาอยู่ที่นี่ได้? ที่นี่คือที่ใด? ”
อวิ๋นจิ่นมีกิริยาสุภาพอ่อนโยน
“ทูลพระชายา พวกเราอยู่นอกเมืองแคว้นหนานหลีแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขาเมฆา พระชายาได้รับบาดเจ็บจากพลังหยิน ระหว่างทางจึงหมดสติไป กระหม่อมตัดสินใจไม่ได้ว่าควรเร่งรีบหรือไม่ เกรงว่าจะทำให้ภารกิจของพระชายาต้องล่าช้า จึงตัดสินใจพาพระชายากลับมาโดยพลการ พระชายาโปรดให้อภัย”
คำพูดของอวิ๋นจิ่นดูน่าเชื่อถืออย่างมาก จนซูจิ่นซีไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อย
“อภัยอันใด เจ้าทำผิดอันใดหรือ? ”
นางต้องการกลับแคว้นหนานหลีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากอวิ๋นจิ่นรู้ว่านางต้องการกลับแคว้นหนานหลี ทว่ายังมัวแต่โอ้เอ้อยู่ที่เขาเมฆา เขาอาจจะถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม… นางถูกพลังหยินที่เขาเมฆาทำให้บาดเจ็บหรือ? ทั้งยังหมดสติระหว่างทางอีกด้วย?
เหตุใดถึงนึกอันใดไม่ออกเลย?
ระหว่างทางเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
พลังหยินที่เขาเมฆาทรงพลังถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ถึงขั้นทำให้นางบาดเจ็บหนักได้?
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ซูจิ่นซีก็ไม่นึกถึงมันอีก โชคดีที่นางไม่ได้ติดใจอันใด
อวิ๋นจิ่นเตรียมยาให้ซูจิ่นซีดื่ม
ซูจิ่นซีไม่พบเบาะแสใดๆ ยาสมุนไพรทั้งหมดเป็นยาบำรุงและขจัดไอพิษในร่างกาย หากใช้เพื่อนำพลังหยินออกจากร่างก็ไม่เป็นอันใด
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากทางด้านนอก
ซูจิ่นซีรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นางค่อยๆ เปิดอาคมกำไลปี่อั้น และพบว่าเป็นกองทัพทหาร
นางคิดจะหลบซ่อน ทว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว
ชั่วพริบตา เสียงฝีเท้าก็ใกล้เข้ามา พร้อมกับผู้นำทัพที่เข้ามาในห้อง
“จิ่นซี เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เหตุใดจึงบาดเจ็บได้? ” เป็นมู่หรงฉี
ใบหน้าของซูจิ่นซีสงบนิ่ง นางพยายามแย้มยิ้มเพื่อไม่ทำให้ผู้อื่นรู้สึกอึดอัด “ไม่เป็นอันใด เพียงบาดเจ็บเล็กน้อย อย่าได้เอ็ดตะโรไป”
“จะบาดเจ็บเล็กน้อยได้อย่างไร! ข้าได้ยินว่าเจ้าหมดสติเป็นเวลานาน? ”
“จริงหรือ? ”
ซูจิ่นซีมีท่าทางสับสน นางมองไปยังอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นแสดงออกอย่างไร้เดียงสา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้หักหลังซูจิ่นซี
เมื่อคาดคะเนการเดินทางจากเขาเมฆามายังนอกเมืองแคว้นหนานหลี ต้องใช้เวลาสองสามวัน นางหมดสติเป็นเวลานานจริงๆ มู่หรงฉีหูตาว่องไวเป็นสับปะรด หากเขาสังเกตเห็นสิ่งใดก็ไม่แปลก ดังนั้นซูจิ่นซีจึงไม่ได้ปกปิด
มู่หรงฉีถามอย่างไร นางก็ตอบเช่นนั้น ส่วนสิ่งที่มู่หรงฉีไม่ได้ถาม แน่นอนว่านางไม่สารภาพออกมาเองเป็นแน่
“จิ่นซี บอกข้า เหตุใดเจ้าต้องไปสถานที่เช่นเขาเมฆาด้วย? เจ้าไปทำอันใดที่เขาเมฆา? ”
มู่หรงฉีก็รู้จักเขาเมฆาหรือ?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแผ่วเบา “ไปทำภาระกิจส่วนตัว แม้จะอันตราย ทว่าข้ากลับมาได้อย่างปลอดภัย เสด็จพี่ไม่ต้องโวยวายแล้ว”
มู่หรงฉีเห็นซูจิ่นซีไม่ต้องการพูดอันใดให้มากความ เขาจึงไม่รบเร้า เพียงอธิบายสถานการณ์ของอาณาจักรเทียนเหอให้ซูจิ่นซีฟังหนึ่งครั้ง
หลังจากมู่หรงฉีพูดจบ ซูจิ่นซีเพิ่งรู้ว่าสงครามระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีดำเนินมาหลายเดือนแล้ว เริ่มตั้งแต่กลางฤดูร้อนมาจนถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงของวันนี้
นอกจากนั้น ทางตะวันออกของแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลีก็เกิดสงครามเช่นกัน
แคว้นไหวเจียงเลยฉวยโอกาสนี้โจมตีทางตอนใต้ของแคว้นจงหนิง
กล่าวได้ว่า แม้แคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีจะปะทะกัน ทว่ากลับไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์ ทั้งสองแคว้นต่างถูกโจมตีกระหนาบทั้งหน้าและหลัง หากจัดการไม่ดี เรียกได้ว่าผลสุดท้าย ผู้ที่ได้ประโยชน์คงเป็นแคว้นตงเฉินกับแคว้นไหวเจียง
อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่การเป็นจักรพรรดินั้น ไม่อาจหลีกเลี่ยงการนองเลือดไปได้
ซูจิ่นซีไม่กล้าถาม “เสด็จพี่ ท่านบอกข้า ความบาดหมางระหว่างสกุลมู่หรงและราชวงศ์ต้าฉิน แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่? ”
มู่หรงฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“เดิมที เสด็จพ่อไม่ต้องการให้เจ้าทราบเรื่องเหล่านี้ ทั้งยังเตือนข้าไม่ให้บอกเจ้า ทว่าข้ารู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและโยวอ๋องในตอนนี้ หากปิดบังต่อไปคงไม่ยุติธรรมกับเจ้านัก”
นอกจากนั้น เขาเชื่อว่า ด้วยนิสัยของซูจิ่นซี ต่อให้เขาไม่บอกนาง นางก็จะพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินค้นหาความจริงของเรื่องนี้ให้ชัดเจนอยู่ดี
แทนที่จะปล่อยให้นางทราบด้วยตนเอง คงดีกว่าหากเขาที่เป็นพี่ชายเป็นคนบอกนาง
“บุญคุณความแค้นระหว่างราชวงศ์ต้าฉินกับสกุลมู่หรงนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์สุดท้ายของต้าฉินและเกี่ยวข้องกับสกุลเสวียนหยวน”
“สกุลเสวียนหยวน? ราชครูของจักรวรรดิต้าฉินหรือ? ”
“ใช่! “