สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 25 ตอนที่ 723 สิ่งที่ควรทำก็ต้องทำ
ตลอดทาง ซูจิ่นซีครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่านางไม่คาดคิดว่า สถานการณ์จะเป็นเช่นนี้
ตำหนักหลงโซ่วเป็นห้องบรรทมของมู่หรงอวิ๋นไห่ ภายในวังแบ่งออกเป็นสามชั้น พื้นที่โดยรอบมีองครักษ์คอยอารักขาอย่างแน่นหนา ทั้งยังมีองครักษ์เงาของมู่หรงฉีอีกด้วย
ประตูและหน้าต่างทั้งหมดภายในตำหนักหลงโซ่วถูกปิดตาย ไม่เพียงตอกหลักไม้เท่านั้น แต่ยังคล้องด้วยโซ่เหล็กอีกชั้น
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ไม่เพียงซูจิ่นซี แม้แต่เยี่ยโยวเหยายังขมวดคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรเสีย ที่นี่คือห้องบรรทมของฮ่องเต้ ในประวัติศาสตร์ ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิบัติต่อฮ่องเต้เช่นนี้
แม้จะมีกรณีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ของพวกกบฏ เกี่ยวกับการคุมขังฮ่องเต้ ทว่าไม่มีผู้ใดปฏิบัติต่อฮ่องเต้อย่าง ‘บังอาจ’ ถึงเพียงนี้
ซูจิ่นซีหันไปมองมู่หรงฉี พลางส่งสายตาสอบถามด้วยความสงสัย
มู่หรงฉีขมวดคิ้วเครียด
“เป็นเรื่องที่อับจนหนทางจริงๆ หากมีวิธีอื่น พี่คงไม่ปฏิบัติต่อเสด็จพ่อเช่นนี้ จิ่นซี พี่สงสัยว่าเสด็จพ่อจะถูกวางยาพิษ เจ้าเป็นยอดฝีมือด้านพิษ ต้องช่วยชีวิตเสด็จพ่อได้แน่”
พิษ?
“คนต้องช่วยแน่นอน แต่พี่ต้องบอกข้าก่อนว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันแน่? ”
หลังจากสิ้นเสียงของซูจิ่นซี เสียงกรีดร้องอันน่าสลดใจก็ดังขึ้นมาจากห้องบรรทม
มู่หรงฉีและเหล่าองครักษ์พลันมีท่าทีเปลี่ยนไป และรีบวิ่งเข้าไปในห้องบรรทม
ซูจิ่นซีเดินตามพวกเขาเข้าไปด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ประตูห้องบรรทมเปิดออก เมื่อเห็นเหตุการณ์ด้านในอย่างชัดเจน ซูจิ่นซีก็ตกตะลึงยืนนิ่งอยู่กับที่
นางไม่คิดว่าสถานการณ์ภายในห้องบรรทมจะเต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้
บนพื้นเกลื่อนไปด้วยซากศพ มีทั้งองครักษ์ นางกำนัล เสื้อผ้าและเส้นผมของมู่หรงอวิ๋นไห่ยุ่งเหยิง ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ในอ้อมแขนของเขายังมีนางกำนัลผู้หนึ่งที่นอนหายใจรวยริน เขากำลังดูดเลือดจากลำคอของนาง
คนทั้งหมดต่างตกตะลึง
“ยังไม่รีบเข้าไปห้ามอีก! ”
มู่หรงฉีตำหนิองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้าง องครักษ์จึงเดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง และพยายามช่วยชีวิตนางกำนัลจากเงื้อมมือของมู่หรงอวิ๋นไห่ ทว่าเขายังไม่ทันได้เข้าใกล้ มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ล่วงรู้ก่อนแล้ว
มู่หรงอวิ๋นไห่เงยหน้าขึ้น ซูจิ่นซีจึงเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของเขาซีดขาว ขาวเหมือนไม่ได้พบแสงสว่างมานานหลายปี ดวงตาของเขาเป็นสีแดงฉาน และมีเขี้ยวยาวยื่นออกมาจากปาก
หากไม่ตรวจอย่างละเอียด ซูจิ่นซีไม่มีทางรู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ทว่าจนถึงตอนนี้ ระบบถอนพิษยังไม่แจ้งเตือนอาการผิดปกติใดๆ นอกจากตรวจจับพบสารพิษหลายชนิดในร่างกายของเขา
มู่หรงอวิ๋นไห่เห็นองครักษ์เข้ามาใกล้จึงแผดเสียงคำรามดั่งหมาป่า และโจมตีองครักษ์อย่างรุนแรง
ในชั่วพริบตา องครักษ์ทั้งสองก็ถูกเขาจับตัวไว้ได้
ดูเหมือนวรยุทธ์ของเขาจะโหดร้ายมากกว่าเดิม
ในเวลาเดียวกัน ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และมู่หรงฉีก็เข้าจู่โจมพร้อมกัน เพื่อยับยั้งมู่หรงอวิ๋นไห่
“อ้าก! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่แผดเสียงร้องอีกครั้ง เขาอ้าปากกว้าง คิดจะใช้เขี้ยวอันแหลมคมกัดข้อมือของซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยามีสายตาว่องไว เขาคว้าคอของมู่หรงอวิ๋นไห่ไว้ได้ทัน
ดวงตาสีแดงฉานของมู่หรงอวิ๋นไห่จ้องไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาด้วยสีหน้าดุดัน และดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง
ซูจิ่นซีสกัดจุดสำคัญบนลำคอของมู่หรงอวิ๋นไห่อย่างรวดเร็ว มู่หรงอวิ๋นไห่ที่กำลังคลุ้มคลั่งจึงหมดสติไปทันที
“พยุงฝ่าบาทขึ้นไปบนเตียงก่อน”
มู่หรงฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงจริงจัง
องครักษ์ตอบรับอย่างรวดเร็ว พวกเขาพยุงมู่หรงอวิ๋นไห่ขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทม ก่อนจะรีบจัดการกับศพและเลือดบนพื้น
ซูจิ่นซีมีท่าทางจริงจังอย่างมาก ก่อนที่นางจะจับชีพจร ระบบถอนพิษได้สแกนร่างกายของมู่หรงอวิ๋นไห่อย่างละเอียดแล้ว ข้อมูลที่ให้มานั้นชัดเจนอย่างมาก ทว่านางไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ในตอนนี้ สิ่งใดคือสาเหตุของอาการ
ดังนั้นนางจึงตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งด้วยตนเอง รวมทั้งจับชีพจร และตรวจเลือด เป็นต้น
หลังจากทำตามขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ได้ข้อสรุปที่ยังไม่ชัดเจนนัก
“ก่อนหน้าที่ช่วยเหลือเสด็จพ่อออกมาจากดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ข้าพบสารพิษหลายสิบชนิดในร่างกายของเขา ทว่าพิษไม่มีอาการกำเริบหรือแสดงอาการผิดปกติใดๆ อีกทั้ง ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์มากมาย หลายเรื่องถาโถมเข้ามาจนทำให้ละเลยเรื่องนี้ไป
ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาการส่วนใหญ่จะเกิดจากการที่พิษหลายสิบชนิดในร่างกายกำเริบ”
“พิษหลายสิบชนิดหรือ? ”
มู่หรงฉีไม่เคยได้ยินซูจิ่นซีพูดถึงเรื่องนี้ ทำให้เขาตกใจอย่างมาก
ซูจิ่นซีพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง
“ใช่ มีสารพิษหลายสิบชนิด สารพิษบางอย่างข้ามองออก ทว่ามีสารพิษบางชนิดที่ต้องวินิจฉัยอย่างละเอียดจึงจะรู้ว่าเป็นพิษชนิดใด ซึ่งพิษทั้งหมดนี้มาจากแคว้นไหวเจียง หากคิดจะล้างพิษทั้งหมดออกไปคงไม่ใช่เรื่องง่าย”
“เช่นนั้น เราควรทำอย่างไร” มู่หรงฉีอับจนหนทาง
บุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเป็นถึงเจ้าผู้ครองแคว้น!
ฮ่องเต้แห่งแคว้นหนานหลี อีกทั้งแคว้นหนานหลีกำลังทำสงครามกับแคว้นตงเฉินและแคว้นจงหนิง
เป็นไปไม่ได้หากต้องคุมขังเสด็จพ่อไว้ในห้องบรรทมเช่นนี้ตลอดเวลา และไม่ให้ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ล่วงรู้
พวกเขาสามารถหาข้ออ้างได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป กระดาษย่อมไม่อาจห่อไฟได้ ข่าวย่อมรั่วไหลออกไปสักวันหนึ่ง
ถึงตอนนั้น ไม่รู้ว่าจะเกิดความโกลาหลมากเพียงใด?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “หากต้องการถอนพิษในเวลานี้ เกรงว่าจะต้องไปที่ดินแดนต้องห้ามสกุลจงสักครั้ง”
เมื่อเอ่ยถึงดินแดนต้องห้ามสกุลจง เยี่ยโยวเหยาก็รู้สึกร้อนใจ เขาจับมือซูจิ่นซีและพูดว่า “ไปไม่ได้! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและมองไปที่เยี่ยโยวเหยา “อย่างไรเสีย บุคคลผู้นี้ก็มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับข้า เยี่ยโยวเหยา ข้าไม่มีทางเลือก”
ซูจิ่นซีเคยกล่าวถึงดินแดนต้องห้ามสกุลจงให้เยี่ยโยวเหยาฟังมาแล้ว เยี่ยโยวเหยาเองก็พอรู้เรื่องนี้มาบ้าง เขารู้ว่ามันอันตราย
“จากทักษะวิชาของเจ้า เมื่อเห็นสภาพของมู่หรงอวิ๋นไห่ในตอนนั้น เขาต้องมีประโยชน์อย่างมากต่อคนของแคว้นไหวเจียงที่อยู่ในดินแดนต้องห้ามสกุลจง เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด หลังจากบุคคลสำคัญเช่นนี้ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากดินแดนต้องห้ามสกุลจง ทว่าแคว้นไหวเจียงกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่น้อย? ”
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะได้ตอบกลับ เยี่ยโยวเหยาก็กล่าวแทนซูจิ่นซี
“นั่นเป็นเพราะพวกเขาคาดการณ์สถานการณ์ในตอนนี้ไว้หมดแล้ว พวกเขาคาดว่าเพื่อถอนพิษมู่หรงอวิ๋นไห่ พวกเราต้องเข้าไปในดินแดนต้องห้ามสกุลจงอีกครั้งแน่นอน”
ดินแดนต้องห้ามสกุลจงเป็นสถานที่อันตรายเพียงใด?
เยี่ยโยวเหยาไม่ปล่อยให้ซูจิ่นซีเอาชีวิตไปเสี่ยงอีกครั้งแน่นอน
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เยี่ยโยวเหยา ท่านกลัวหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยากระชากเสียงเย็นชา “ในชีวิตของข้า ไม่รู้จักคำว่ากลัว”
“ดีมาก! ” ซูจิ่นซีจับมือเยี่ยโยวเหยา “ขอเพียงมีท่านอยู่ จิ่นซีไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น! ”
มู่หรงฉีแสดงสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย “จิ่นซี เดิมทีข้าควรไปกับเจ้า ทว่าตอนนี้สงครามระหว่างแคว้นหนานหลีกับแคว้นตงเฉินยังคงคับขัน ข้าต้องรีบไปชายแดนทางตะวันออก เกรงว่าเรื่องของเสด็จพ่อต้องมอบให้เจ้าจัดการ! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าและไม่พูดอันใด
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีไม่ได้คาดหวังให้มู่หรงฉีเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องนี้ ต่อให้เขาไปด้วยก็คงไม่ได้ช่วยเหลืออันใดมากนัก
สถานที่ลึกลับซับซ้อนเช่นดินแดนต้องห้ามของสกุลจง ยิ่งมีคนไปมาก ยิ่งไม่เป็นการดี
เมื่อเห็นซูจิ่นซีเข้าใจ มู่หรงฉีจึงมองไปทางเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง
เดิมที เขาต้องการกล่าวขอบคุณสักสองสามคำ แต่ไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะชิงพูดขึ้นก่อน
“เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจข้า สาเหตุที่ข้าร่วมมือด้วยในครั้งนี้ เพราะเห็นแก่หน้าจิ่นซีเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าและแคว้นหนานหลีแม้แต่น้อย รอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเรายังต้องรบกันอีก! ”
ความแค้นของจักรวรรดิต้าฉินกับสกุลมู่หรง เป็นความแค้นฆ่าล้างตระกูล
สกุลมู่หรงไม่มีวันลืม เยี่ยโยวเหยาเองก็ไม่ลืมเช่นกัน