สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 25 ตอนที่ 740 เป็นนางได้อย่างไร
คราแรก เยี่ยโยวเหยาลอบโจมตีชายชราได้อย่างราบรื่น ลำแสงอันทรงพลังที่ขวางกั้นตลอดทาง ถูกทำลายลงโดยวิชายุทธจิ่วเซียวและกระบี่เสวียนหยวน
ทว่าเขาไม่อาจเข้าใกล้ชายชราผู้นั้นได้โดยง่าย
ขณะที่กระบี่เสวียนหยวนในมือของเยี่ยโยวเหยากำลังเข้าใกล้หน้าอกของชายชรา แรงต้านทานของลำแสงรอบตัวเขายิ่งแข็งแกร่งขึ้น
ทั้งยังมีพลังที่แข็งแกร่งพยายามดันเยี่ยโยวเหยาออกไป
สองพลังปะทะกัน ในไม่ช้า เลือดสีแดงสดก็ไหลรินลงมาที่มุมปากของเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีเห็นภาพเหตุการณ์นั้นเต็มสองตา หัวใจของนางพลันบีบรัด นางคลุ้มคลั่งจนแทบขาดสติ
อย่างไรก็ตาม มันไม่ส่งผลกระทบกับการต่อสู่ของนางและชายชราแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ปฏิกิริยาแรกของซูจิ่นซีมักจะใช้วิธีตัดสินการต่อสู้อย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อให้นางกับเยี่ยโยวเหยาบาดเจ็บน้อยที่สุด
ดังนั้นนางจึงใช้กำลังเกือบทั้งหมดในร่างกายต่อสู้กับชายชรา
เกิดเสียง ‘ครืน’ ดังขึ้น ในที่สุด พลังของทั้งสองฝ่ายที่ปะทะกันก็มาถึงจุดสูงสุดที่จะต้านทานได้ แสงสว่างกระจายไปรอบทิศทาง ซูจิ่นซีและชายชราต่างตกตะลึง
ชายชราถอยหลังไปสองสามก้าว เขาถูกกระแทกเข้าไปในห้องลับที่เขาอยู่ก่อนหน้า
เยี่ยโยวเหยาเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ร่างของเขาถูกกระแทกจนร่วงลงบนพื้นและกระอักเลือดออกมาหลายครั้ง
ซูจิ่นซีตกลงบนพื้นอย่างแรง ร่างของนางไถลไปด้านหลังหลายเมตร ก่อนที่แผ่นหลังของนางจะกระแทกเข้ากับเครื่องมือชิ้นหนึ่ง
ชั่วพริบตา ซูจิ่นซีรู้สึกปวดร้าวแผ่นหลังอย่างมากจนไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ นางต้องนอนอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง
‘กึก กึก กึก! ’
ทันใดนั้น เสียงกลไกก็ดังขึ้น ซูจิ่นซีรู้สึกเพียงว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางมองไปยังทิศทางของเสียง
ชั่วขณะนั้นเอง ดวงตาทั้งสองของนางพลันเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
ในเวลาเดียวกัน แม้แต่ท่าทางของเยี่ยโยวเหยาและชายชราที่อยู่ไกลออกไปก็ปรากฏความซับซ้อนอย่างมาก
ไม่รู้ว่าตอนที่ซูจิ่นซีตกลงบนพื้น ร่างกายของนางชนเข้ากับกลไกอันใด ตอนนี้ ผนังที่อยู่ทางด้านขวาของนางค่อยๆ ปรากฏสิ่งของบางอย่างที่คล้ายกับ ‘ลิ้นชัก’ เลื่อนออกมา
มันเป็นสิ่งใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือด้านในนั้นมีคนนอนอยู่
เป็นไปได้อย่างไร?…
เป็นไปได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีลูบแก้มตนเอง และมองไปยังคนที่นอนนิ่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
มุมปากของนางสั่นเทาอยู่ครู่หนึ่งจนไม่สามารถเปล่งเสียงเรียกชื่อคนผู้นั้นออกมาได้
“ซีจือ… ”
ทันใดนั้น ชายชราก็วิ่งพรวดพราดออกจากห้องลับมาอยู่ข้างกายคนผู้นั้น เขามองใบหน้าที่กำลังหลับใหลของคนผู้นั้นด้วยความรักและตั้งใจ นิ้วของเขาค่อยๆ ลูบไล้พวงแก้มของคนผู้นั้น
ใช่แล้ว นางคือจงซีจือ…
จนถึงเวลานี้ ซูจิ่นซียังคงไม่ได้สติ ในหัวของนางปรากฏภาพในตอนเด็กที่ซูจ้งใช้มีดพกในมือเสียบเข้ากลางอกมารดาของนาง พื้นเต็มไปด้วยกองเลือด
ภาพเหตุการณ์นั้นเป็นสีแดงสด ซึ่งมันเคยกลายเป็นสีในความทรงจำของนาง มันกัดกร่อนความรู้สึกและจิตใจของนางอยู่นานหลายปี ส่งผลให้นางกลายเป็นคนโง่เขลา
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้ยังมีโอกาสได้พบนางอีก
ซูจิ่นซีคิดว่าตนเองตาฝาดหูเพี้ยน นางหลับตาลงครู่หนึ่งและลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
สตรีที่นอนอยู่ตรงหน้ายังคงมีใบหน้างดงาม คิ้วดำขลับ แก้มราวกับลูกท้อ ริมฝีปากสีแดงเข้ม และหน้าอกที่หายใจขึ้นลงอย่างผ่อนคลาย
จากประสบการณ์ทางการแพทย์ที่สั่งสมมานานหลายปี ในใจของซูจิ่นซีชัดเจนว่า เวลานี้ จงซีจือที่นอนอยู่ตรงหน้าและมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับนาง ยังมีลมหายใจอยู่
นางหลับอยู่หรือว่าหมดสติ
ทว่าภาพในความทรงจำจะหลอกนางได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีปิดตาลงอีกครั้ง ในความคิดปรากฏภาพของซูจ้งที่เป็นหมอเช่นเดียวกัน เขาลงมืออย่างแม่นยำ ตำแหน่งและขนาดของมีดสั้นแทงลงไปที่หัวใจของนางโดยไม่คลาดเคลื่อน และปริมาณเลือดก็เพียงพอที่จะพรากชีวิตของนางได้ นางไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน
ซูจิ่นซีมั่นใจว่าตอนที่นางอายุได้เจ็ดขวบ จงซือจีตายไปแล้ว
หรือว่าจะเป็น…
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางพยุงร่างกายที่บอบช้ำลุกไปหามู่หรงอวิ๋นไห่
ทันทีที่ลุกขึ้น ซูจิ่นซีเปิดระบบถอนพิษเพื่อตรวจสอบตัวยากับสารพิษทั้งหมดในร่างกายของมู่หรงอวิ๋นไห่หนึ่งครั้ง และเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิมในระบบถอนพิษ ซึ่งเป็นผลการตรวจสอบร่างกายของมู่หรงอวิ๋นไห่ก่อนหน้าที่ยังไม่พบความผิดปกติอันใด
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีก็ตรวจสอบอุปกรณ์ที่เสียบอยู่ตามร่างกายของมู่หรงอวิ๋นไห่อย่างละเอียดและรวดเร็ว
ครู่หนึ่ง แววตาของซูจิ่นซีพลันเผยความเข้าใจอย่างชัดเจน นางเงยหน้าขึ้นมองชายชรา และกล่าวเสียงต่ำอย่างเหลือเชื่อ
“เจ้ากำลังใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต ใช้ชีวิตของมู่หรงอวิ๋นไห่แลกกับชีวิตของจงซีจือหรือ? ”
แววตาของชายชรามองใบหน้าที่หลับสนิทของจงซีจือโดยไม่ได้เงยหน้ามามองซูจิ่นซี เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ
“นี่คือสิ่งที่เขาติดค้างนาง”
“ยาอายุวัฒนะไม่มีอยู่จริง เมื่อหนึ่งพันกว่าปีก่อนก็ไม่มี จิ่นอีโหวปรุงยาไม่สำเร็จ ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกับหนึ่งพันปีที่ผ่านมา ในเมื่อเจ้ารู้อดีตชาติของข้า เจ้าย่อมเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ใช้หนึ่งชีวิตของคนเป็นเพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของคนตาย เจ้าไม่รู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไปหรือ? ”
ซูจิ่นซีนึกออกทันทีว่าเหล่ายาสมุนไพรที่ผสมกันอยู่ในร่างของมู่หรงอวิ๋นไห่ คล้ายกับเทียบยาที่จิ่นอีโหวใช้กลั่นยาอายุวัฒนะเมื่อพันกว่าปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ประการแรก เวลาผ่านมานานมากแล้ว นางมีประสบการณ์การกลับชาติมาเกิดหลายครั้ง ทำให้รายละเอียดของเหตุการณ์ในอดีตเลือนรางไปบ้าง
ประการที่สอง เทียบยาที่ชายชราได้ปรับปรุงและพัฒนา มีความแตกต่างบางอย่างที่ก่อนหน้าซูจิ่นซีนึกไม่ออก
“นั่นคือสิ่งที่มู่หรงอวิ๋นไห่ติดค้างนาง เขาควรจ่ายคืน และต้องจ่ายคืนให้นาง” ชายชราใช้น้ำเสียงเน้นย้ำหนักแน่น
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่ามารดาของตนกับคนทั้งสองมีเรื่องพัวพันกันอย่างไร นางจึงไม่พูดอันใดอยู่ครู่หนึ่ง
แววตาของชายชรามองใบหน้าของจงซีจือด้วยความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ นิ้วมือลูบไล้อยู่บนแก้มของนางอย่างแผ่วเบา
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าทำสำเร็จ ตอนนี้นางมีลมหายใจแล้ว” ขณะที่พูด แววตาของเขาพลันแข็งกร้าว เขาเงยหน้าขึ้นมองซูจิ่นซี “อย่างไรก็ตาม… ข้ายังต้องการส่วนผสมอีกหนึ่งอย่าง และข้ากำลังจะได้ส่วนผสมนั้นมาอยู่ในมือเร็วๆ นี้”
ชายชราพูดพลางมองมาทางซูจิ่นซีราวกับมองเหยื่อของตนเอง
ที่แท้ เป็นเพราะสาเหตุนี้เอง…
ไม่แปลกใจที่ชายชราพบร่องรอยของพวกเขาก่อนหน้าที่พวกเขาจะเข้ามาในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ แต่กลับไม่ทำอันใด
เดิมทีเขามีเป้าหมายและแผนการของตนเอง เพียงเพื่อเชิญท่านลงโอ่ง [1]
ดวงตาของซูจิ่นซีเผยแววเยาะเย้ยอย่างได้ชัด นางยกยิ้มมุมปากพลางยกแขนขวาของตนเองขึ้นมา
“หากเจ้าต้องการนำเลือดของข้าไปเป็นส่วนผสม ข้ามอบให้เจ้าได้ เพราะนางคือมารดาของข้า”
ซูจิ่นซีพูดพลางเหลือบมองมู่หรงอวิ๋นไห่ “ทว่าหากเขาตาย ข้า ซูจิ่นซี แม้จะต้องไล่ล่าเจ้าสุดขอบฟ้ามหาสมุทร ข้าก็จะตามหาเจ้าให้พบเพื่อแก้แค้น เพราะเขาคือบิดาของข้าเช่นกัน”
ประโยคมารดา ประโยคบิดา ทำให้แววตาของชายชราผู้นั้นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แววตาเต็มไปด้วยไอสังหาร
“เช่นนั้นก็ทิ้งชีวิตของเจ้าไว้ที่นี่เสียเถิด! เจ้าเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้ายของพวกเขา บิดาก่อหนี้ บุตรตามชดใช้ หลักการของฟ้าดินมิอาจเปลี่ยนแปลง”
ซูจิ่นซีรู้สึกเบื่อหน่ายกับชื่อเรียก ‘เมล็ดพันธุ์แห่งความชั่วร้าย’ เสียจริง ไฟแห่งโทสะพุ่งจากก้นบึ้งของหัวใจมายังหน้าผาก
กระบี่เฟิ่งอวี่ในมือหมุนวนอย่างงดงามดั่งดอกไม้ และชี้ไปที่ชายชรา
“เช่นนั้นก็ให้เมล็ดพันธุ์ชั่วร้ายเช่นข้า เห็นฝีมืออันสูงส่งของเจ้าเถิด! ลงมือเถิด ไม่ต้องพูดจาไร้สาระ”
ตอนที่พูดคำว่า ‘เมล็ดพันธุ์ชั่วร้าย’ เสียงของซูจิ่นซีแผ่วเบาอย่างมาก แต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน และเสียดแทงหัวใจของชายชราอย่างแม่นยำ
จากนั้น ซูจิ่นซีก็กล่าวเสริมอย่างโหดเหี้ยม
“อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ข้าทำหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบปรุงยาให้จิ่นอีโหวในตำหนักใต้ดิน ข้าต้องขอบอกเจ้าอย่างโหดร้ายว่า ยาอายุวัฒนะไม่มีอยู่จริง จิ่นอีโหวเพียงหลอกตนเองเท่านั้น ต่อให้มีก็ใช้ได้เฉพาะกับร่างของคนเป็น เรื่องชุบชีวิตนั้น แม้จะเป็นยาวิเศษจากเผ่าสวรรค์ก็มิอาจช่วยได้”
……
เชิงอรรถ
[1] เชิญท่านลงโอ่ง เรื่องมีอยู่ว่า… สมัยราชวงศ์ถัง โจวซิง ขุนนางผู้โหดเหี้ยมซึ่งเป็นที่โปรดปรานของพระนางบูเช็กเทียน ได้ใช้วิธีลงโทษที่ทารุณโหดเหี้ยมทำร้ายผู้คนจำนวนมาก ต่อมา โจวซิงได้ถูกกล่าวหาว่าวางแผนก่อกบฏ พระนางบูเช็กเทียนจึงส่งไหลจวิ้นเฉินไปไต่สวนโจวซิง ไหลจวิ้นเฉินรู้ดีว่าโจวซิงจะไม่รับสารภาพโดยง่ายจึงคิดหาวิธี ตอนที่เชิญโจวซิงดื่มเหล้านั้น เขาได้ถามว่า “จะใช้วิธีอะไรที่สามารถทำให้นักโทษสารภาพผิดได้ดีที่สุด” โจวซิงตอบว่า “เอาโอ่งใหญ่ๆ มาหนึ่งใบ รอบๆ ใช้ฟืนสุมให้ร้อน แล้วเรียกนักโทษลงไปในโอ่ง นักโทษจะไม่สารภาพผิดได้อย่างไร” ไหลจวิ้นเฉินจึงเรียกให้คนแบกโอ่งมาทันที จากนั้นก็พูดกับโจวซิงว่า “มีการร้องเรียนกล่าวหาว่าท่านพี่คิดการกบฏ ตอนนี้เชิญท่านพี่ลงโอ่งเถิด” นิทานสุภาษิตเรื่องนี้ หมายถึง การทำสิ่งไม่ดีกับใครไว้ สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาหาตนเอง หรือเปรียบเทียบกับสุภาษิตไทยที่ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”