สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 26 ตอนที่ 752 ท่านเฟิงผู้ลึกลับ
สตรีใดจะทนบุรุษที่อ่อนโยนเช่นนี้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นสตรีที่แข็งแกร่งและมีอำนาจอย่างตงหลิงหวง!
มู่หรงฉีเป็นบุรุษคนแรกในชีวิตของนาง และเป็นคนแรกที่ใช้ความรุนแรงดุดันเช่นนี้ ทว่ากลับบรรจงจุมพิตนางอย่างอ่อนโยนราวกับสายน้ำ
ก่อนหน้านี้ นางรู้สึกราวกับจะเป็นลม และริมฝีปากของนางก็กำลังจะแหลกละเอียดจากการบดขยี้
ทว่าตอนนี้กลับอ่อนโยนราวกับสายน้ำ จนหัวใจของนางแทบละลาย
นางอดกลั้นไม่ให้ตนเองถลำลึก ทว่านางอดถลำลึกลงไปพร้อมกับการบรรจงจูบอย่างอ่อนโยนของมู่หรงฉีไม่ได้ นางอดส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาไม่ได้ ผิวแก้มและลำคอพลันแดงก่ำ
จากเสียงครวญครางที่เร่าร้อนของนาง ทำให้บุรุษยิ่งจมดิ่งด้วยไฟราคะอันเร่าร้อนและความปรารถนาอย่างลึกซึ้งในดวงตาของเขา มู่หรงฉีค่อยๆ จับมือของนางมาวางไว้บนหัวไหล่ของเขา
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้แต่ตงหลิงหวงเองก็ไม่เข้าใจตนเองเช่นกัน นางคว้าลำคอของมู่หรงฉีและจุมพิตกลับอย่างเชื่องช้า
ชั่วพริบตา มู่หรงฉีก็ราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาอันเร่าร้อนที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น มีความสุขสมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาเกรงว่าจะทำให้นางตกใจเกินไป จึงพยายามอดกลั้นอย่างเต็มที่ พยายามควบคุมความรู้สึกเร่าร้อน จูบที่นุ่มนวลเคลื่อนจากริมฝีปากสีแดงอิงเถาของนางไปยังซอกคอและติ่งหูที่อ่อนนุ่ม และเลื่อนลงไปที่ซอกคองดงามของนาง
ร่างของตงหลิงหวงสั่นสะท้านด้วยความวาบหวาม นางเชิดหน้ามองแสงจันทร์ที่ส่องไสวและหิมะที่กำลังโปรยปรายเหนือศีรษะ
ค่ำคืนนั้นช่างงดงามเหลือเกิน บุรุษที่อยู่ตรงหน้าช่างอ่อนโยน ก้นบึ้งในหัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก…
หน้าที่และภาระอันหนักอึ้งที่ไม่อาจปล่อยวางได้ในทุกวัน ยามนี้เหมือนจะห่างไกลจากนางมากขึ้นทุกที ร่างกายของนางล่องลอยสุขสม
มิสู้ ยอมตายอยู่ท่ามกลางความอ่อนโยนนี้ดีกว่า…
เนื่องจากการคลอเคลียของคนทั้งสอง สายรัดเอวจึงถูกคลายออก เสื้อคลุมหนาและอบอุ่นบนร่างกายตกลงบนพื้น
นอกจากเสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยบริเวณหน้าอกแล้ว ยังมีความงดงามที่ขาวโพลน และเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนท่ามกลางสายลม
นอกจากการจุมพิตอันแสนเร่าร้อนของบุรุษผู้นี้ ความเย็นเยือกที่จู่โจมเข้ามาอย่างกะทันหัน ทำให้ตงหลิงหวงที่กำลังดื่มด่ำไปกับความอ่อนโยนพลันได้สติ
นางมองไปเห็นชายผู้นั้นกำลังซุกไซ้อย่างบ้าคลั่ง แก้มของนางแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะผลักมู่หรงฉีออกไปอย่างแรง และหยิบเสื้อคลุมที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาคลุมเรือนร่างของตนอย่างรวดเร็ว
บุรุษผู้นั้นถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน แววตาของเขาไม่อาจเก็บซ่อนความปรารถนาอันแรงกล้า ทว่าเขาใช้พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อระงับมันไว้
“หวงเอ๋อร์… ”
ตงหลิงหวงหันไปทางอื่น เพื่อป้องกันไม่ให้มู่หรงฉีมองเห็นร่องรอยสีแดงบริเวณแก้มของนาง
น้ำเสียงของนางกลับมาเย็นชาและแสดงการปฏิเสธอย่างเฉียบขาดเหมือนก่อนหน้านี้
“ท่านอ๋องอย่าเล่นสนุกกับข้า ท่านผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาอย่างช่ำชอง คงไม่ไร้เดียงสาจนเห็นเรื่องนี้สำคัญกว่ากระมัง? ”
“เล่นสนุกหรือ? ”
ไฟปรารถนาในดวงตาของมู่หรงฉี ถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่บาดลึกลงไปในหัวใจ ชั่วพริบตา น้ำเสียงของเขาพลันทุ้มต่ำและสั่นเครือโดยที่ไม่อาจควบคุมได้
“หากข้าจริงจังเล่า? ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
ตงหลิงหวงเงยหน้าหัวเราะแผ่วเบา นางสะกดความสับสนปั่นป่วนทั้งหมดไว้ภายในใจด้วยรอยยิ้ม เมื่อหันกลับไป ใบหน้าของนางก็ถูกแทนที่ด้วยความเย็นชาและเย้ยหยัน
“ฉีอ๋องจะให้ข้าพูดอย่างไร? ฮ่า ฮ่า ทัพทั้งสองกำลังทำศึกสงครามกันในสนามรบ ครั้งนี้ถือว่ารัชทายาทอย่างข้าไม่รู้ไม่เห็น เห็นแก่ตอนที่ไปแคว้นหนานหลี ฉีอ๋องและพี่น้องของท่านให้การต้อนรับข้าด้วยความอบอุ่นอย่างดี
หากมีครั้งต่อไป อาจไม่โชคดีเช่นนี้
ฉีอ๋อง ท่านควรกลับไปเสียเถิด! ”
หลังจากพูดจบ ตงหลิงหวงรีบผูกเสื้อคลุมตัวใหญ่บนร่างกายและหันหลังเดินจากไป
ทันใดนั้น มู่หรงฉีที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยขึ้นว่า “แท้จริงแล้ว รัชทายาทไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจ เพราะการเป็นรัชทายาทนั้น การเห็นอกเห็นใจถือเป็นข้อห้ามที่สำคัญ
นอกจากนั้น ครั้งสุดท้ายที่รัชทายาทไปเยือนแคว้นหนานหลี ข้าสองพี่น้องไม่ได้ทำอันใด รัชทายาทไม่ต้องใส่ใจในเรื่องนั้น ท่านสามารถจับข้ามัดและพากลับไปที่ค่ายทหาร หรือส่งไปยังศาลของแคว้นตงเฉิน เพื่อให้ฮ่องเต้แห่งแคว้นตงเฉินจัดการ”
มู่หรงฉีคาดไว้แล้วว่าตงหลิงหวงจะไม่ทำเช่นนี้ จึงจงใจบีบคั้นจุดอ่อนและสร้างความเจ็บปวดให้แก่นาง
ตงหลิงหวงหยุดชะงักฝีเท้าและหันหลังกลับมา นางจ้องหน้ามู่หรงฉีด้วยท่าทางขุ่นเคือง
“ท่าน… ”
“ทำไม? ใจอ่อนหรือ? หรือเจ้าทำไม่ลง? ”
ใบหน้าของมู่หรงฉีเผยรอยยิ้มแห่งความสำเร็จเล็กน้อย
ตงหลิงหวงกัดฟันกรอด “มู่หรงฉี เจ้าคนไร้ยางอาย! ”
มู่หรงฉียกยิ้มเล็กน้อยโดยไม่พูดอันใด ก่อนจะเดินเข้าไปหาตงหลิงหวง
ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าว ตงหลิงหวงกลับหนีไปอย่างรวดเร็ว
มู่หรงฉียืนอยู่ที่เดิม มุมปากเผยรอยยิ้มลึกซึ้ง พลางมองร่างที่วิ่งไปท่ามกลางสายลมและหิมะโปรยปรายราวกับปีกผีเสื้อ ร่างนั้นค่อยๆ ห่างออกไปจากเขาเรื่อยๆ
ตงหลิงหวงวิ่งเข้าไปในค่ายทหารอย่างรวดเร็ว หัวใจของนางเต้นแรง
ความรู้สึกที่หัวใจเต้นแรงจนถึงลำคอ ทำให้นางตกใจเล็กน้อย นางต้องการต่อต้าน ทว่านางกลับรู้สึกอิ่มเอมจากก้นบึ้งของหัวใจ
แท้จริงแล้ว อารมณ์เหล่านี้ขัดแย้งกันอย่างมาก
นางตกอยู่ในอารมณ์ซับซ้อน เมื่อทอดสายตามองออกไปไกลจากค่ายทหาร ท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปทันที
ตงหลิงหวงรีบเดินเข้าไปในกระโจมของตน
นางเพิ่งเดินเข้าไปไม่กี่ก้าว อู๋ซวงก็รีบเดินเข้ามาหานาง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ”
ปกติทางเข้าค่ายจะมีเตาอั้งโล่เพียงสองเตา เว้นแต่เป็นกระโจมของผู้ที่มีสถานะสูงส่ง จึงจะมีการเพิ่มจำนวนเตาอั้งโล่ได้อีก
และในเวลานี้ มีเตาอั้งโล่หกเตาอยู่ที่หน้าประตู
อู๋ซวงเดินไปหาตงหลิงหวงหนึ่งก้าว และเอ่ยเสียงเบาว่า “รัชทายาท ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ”
“มีผู้ใดอีก? ”
“ฝ่าบาทเสด็จมาพร้อมกับบุรุษลึกลับท่านหนึ่ง เขาสวมเสื้อคลุมและหน้ากาก มองไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร หม่อมฉันได้ยินฝ่าบาทเรียกเขาว่าท่านเฟิง”
ท่านเฟิง…
ตงหลิงหวงค่อยๆ หรี่ตาลง
แม้ไม่เคยพบคนผู้นี้มาก่อน ทว่าตงหลิงหวงทราบข่าวมาก่อนหน้านี้ราวๆ ครึ่งเดือนแล้ว ฝ่าบาทเสด็จไปที่เขาหลีซานเพื่อถวายเครื่องบูชาสวรรค์ และบังเอิญพบกับผู้บำเพ็ญเพียรท่านหนึ่ง จึงเชิญกลับวังมาในฐานะแขกคนสำคัญ
ฝ่าบาทเชื่อในตัวท่านเฟิงผู้นี้มาก!
ไม่ว่าจะเป็นการบริหารราชสำนักหรือเรื่องทางการทหาร ฝ่าบาทต้องฟังความคิดเห็นของท่านเฟิงเสียก่อน และให้เขาเสนอแนะ
นางยังได้ยินมาอีกว่า ขุนนางในราชสำนักและผู้คนในวังหลัง ถูกปีศาจร้ายผู้นี้สังหารไปหลายคนแล้ว
ไม่ว่าภูมิหลังของคนผู้นี้จะเป็นอย่างไร นางคงได้พบเขาในวันนี้อย่างแน่นอน
ดังนั้นตงหลิงหวงจึงเร่งฝีเท้าและเดินไปยังกระโจมของตนเอง
อู๋ซวงเดินตามอยู่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด พลางเอ่ยกระซิบแนะนำบางอย่าง
“องค์รัชทายาท ขณะที่ฝ่าบาทเสด็จมา มีองครักษ์ส่วนพระองค์เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ทั้งยังเสด็จมาอย่างลับๆ อย่างไรก็ตาม ได้ยินว่ากองทัพใหญ่จะตามมาภายหลัง
ฝ่าบาททรงรีบเร่งมาเช่นนี้ พระองค์ต้องสงบสติอารมณ์ไว้ ไม่เช่นนั้นอาจเสียเปรียบคนผู้นั้นได้เพคะ”
ตงหลิงหวงมีท่าทางเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังไม่พูดสิ่งใด
นางเดินตรงมายังทางเข้ากระโจมโดยไม่หยุดฝีเท้า เมื่อมาถึงก็เปิดม่านเข้าไปในกระโจมทันที
คนในกระโจมราวกับกำลังหารืออันใดบางอย่าง เสียงของพวกเขาพลันเงียบลง
ชายวัยกลางคนในชุดเกราะสีทองที่นั่งอยู่ด้านบน มองมาที่ตงหลิงหวง ใบหน้าของเขาปรากฏความเคร่งขรึม “หวงเอ๋อร์ เจ้ากลายเป็นผู้ที่อยู่นอกกฎเกณฑ์มากขึ้นทุกทีแล้ว”
ตงหลิงหวงเหลือบมองคนในกระโจมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
นอกจากฮ่องเต้แคว้นตงเฉินในชุดเกราะสีทองแล้ว ยังมีชายในชุดเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่ทางซ้าย คนผู้นั้นไม่ได้ถอดหมวกบนศีรษะ ทั้งใบหน้ายังสวมหน้ากากปกปิดเอาไว้
สายตาของตงหลิงหวงจับจ้องไปที่ร่างของคนผู้นั้น และสังเกตตรวจสอบอยู่ครู่ใหญ่
แม่ทัพใหญ่ห้านายที่นั่งอยู่ เมื่อเห็นตงหลิงหวงเดินเข้ามา จึงลุกขึ้นแสดงความเคารพทันที
พวกเขากล่าวอย่างพร้อมเพรียง “ท่านจอมพล”
แม้ตงหลิงหวงจะเป็นรัชทายาท ทว่าที่นี่เป็นกองทัพ การเรียกขานชื่อจึงเป็นไปตามกฎของกองทัพ
แววตาของตงหลิงหวงปรากฏความแน่วแน่ เฉียบขาด และเด็ดเดี่ยวอย่างมาก ทำให้เหล่าบุรุษรู้สึกได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังจากแม่ทัพใหญ่ทั้งห้าท่านทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว คนผู้นั้นก็ลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาตงหลิงหวงด้วยท่าทางไม่รีบร้อน และพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
“องค์รัชทายาท”
แม้ไม่เห็นใบหน้าของเขา ทว่าตงหลิงหวงสัมผัสได้ถึงท่าทางที่สงบนิ่ง จิตใจที่เข้มแข็ง และบุคลิกที่ไม่ธรรมดา
หากเป็นผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา คงไม่มีท่าทางและสภาพจิตใจที่สงบนิ่งเช่นนี้
บรรยากาศรอบตัวของเขา ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเป็นผู้อาวุโสที่บำเพ็ญเพียร ทว่าในใจของตงหลิงหวงมีสัญชาตญาณที่แข็งแกร่งบางอย่าง
เขาไม่ใช่
คนผู้นี้ คือผู้ใดกันแน่?