สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 27 ตอนที่ 799 ไม่พบกันชั่วชีวิต
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง แววตาของสัตว์ภูตก็ทอประกายระยิบระยับ นางพลันได้สติและเดินไปด้านหน้ากระดานหมากรุกกระดานที่สอง “เจ้าตัวแสบ ยังไม่รีบเล่นอีก”
ในกระดานที่สอง ซูจิ่นซียังคงเป็นหมากขาว สัตว์ภูตเป็นหมากดำ
เหมือนกับกระดานแรก ในช่วงแรก ทั้งสองคนวางหมากอย่างรวดเร็ว ทว่าช่วงหลังกลับเล่นช้าลง หลังจากนั้นก็ขบคิดอย่างรอบคอบแล้วจึงวางหมาก
ทั้งสองเล่นอยู่สองชั่วยาม
ท้ายที่สุดก็เสมอกัน
เยี่ยโยวเหยารออยู่ด้านข้างไม่ได้เข้าไปใกล้ แม้จะรออยู่นาน ทว่าเขากลับไม่หงุดหงิดรำคาญใจแม้แต่น้อย
กระดานที่สาม สถานการณ์ไม่ต่างจากสองกระดานก่อนหน้า ท้ายที่สุด สัตว์ภูตก็เป็นฝ่ายชนะ
ทั้งสองเล่นกันตั้งแต่เช้าจวบจนฟ้ามืด จากกลางคืนถึงเช้าตรู่ จนถึงเวลาบ่ายของวันที่สอง ทั้งสองเพิ่งเล่นถึงกระดานที่หก
เยี่ยโยวเหยาที่ไม่มีอันใดทำเลยนั่งสมาธิ ฝึกวิชายุทธ์จิ่วเซียว
ปัจจุบัน วิชายุทธ์จิ่วเซียวของเยี่ยโยวเหยาได้บรรลุถึงขั้นที่แปดเรียบร้อย ขั้นเก้าและขั้นสิบจะถูกแบ่งออกเป็นเก้าส่วน
ทว่าระดับเก้านี้ เยี่ยโยวเหยาฝึกมาเป็นเวลานานแล้วก็ยังผ่านไปไม่ได้
และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งคืน
ซูจิ่นซีเล่นหมากรุกกับสัตว์ภูต แรกเริ่ม ซูจิ่นซีกระตือรือร้นต้องการจบเกม จึงค่อนข้างเสียงดัง ทว่าตอนหลังๆ โดยเฉพาะหลังจากกระดานที่เจ็ด เห็นได้ชัดว่าสภาพจิตใจของนางจมลงไปอย่างสมบูรณ์และเข้าสู่สภาวะบ้าคลั่ง
กระดานที่แปด ตั้งแต่คืนที่สองจนถึงเช้าวันที่สาม ทั้งสองคนยังไม่ทราบผลแพ้ชนะ มีบางครั้งที่สัตว์ภูตวางหมากและใช้เวลาพิจารณาถึงสองชั่วยาม ซูจิ่นซีก็ไม่ได้เร่งรัด
มีบางครั้งที่ซูจิ่นซีวางหมากและต้องขบคิดหนึ่งถึงสองชั่วยาม สัตว์ภูตก็ไม่ได้เร่งรัด
ยิ่งตอนหลัง พวกเขารู้สึกว่าการตั้งของหมากรุกกลนี้วิจิตรพิสดารมาก ดูเหมือนว่ามันจะนำสภาวะของคนไปสู่ระดับสูงสุดได้
ในที่สุดเวลาหลังเที่ยง ทั้งคู่ก็เล่นหมากกระดานที่เก้าจบ
สภาพของซูจิ่นซีและสัตว์ภูตดูดีอย่างมาก พวกเขาเดินไปยังกระดานที่สิบ
กระดานที่สิบนี้ สัตว์ภูตที่เป็นตัวดำเริ่มก่อน
สัตว์ภูตหยิบหมากสีดำวางลงบนกระดาน ซูจิ่นซีวางสีขาวตามทันที
หมากดำ…
หมากขาว…
หมากดำ…
หมากขาว…
สี่ชั่วยามต่อมาท้องฟ้ามืดสนิท หลังจากซูจิ่นซีวางหมากสีขาวบนกระดาน สัตว์ภูตก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“ไม่คิดเลยว่ากระดานนี้จะเสมอกัน! ”
ใช่แล้ว เสมอกันอีกแล้ว
ยกเว้นกระดานแรกที่ซูจิ่นซีชนะและสัตว์ภูตชนะในกระดานที่สาม แปดกระดานที่เหลือล้วนจบลงด้วยการเสมอกัน
ซูจิ่นซีไม่อยากจะเชื่อจริงๆ
เมื่อรู้สึกว่าเสียงเล่นหมากรุกของทั้งสองจบลง เยี่ยโยวเหยาที่กำลังนั่งสมาธิฝึกวรยุทธ์ก็เดินพลังทั่วร่างหนึ่งรอบ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาและเดินไปหาซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีส่งยิ้มเล็กน้อยให้เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาใช้แขนเสื้อของตนเองเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ซูจิ่นซี “เหนื่อยหรือไม่! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยโยวเหยาใช้แขนเสื้อตนเองเช็ดเหงื่อให้นาง ซูจิ่นซีไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด คิดไม่ถึงว่าเยี่ยโยวเหยาผู้รักความสะอาดจะมีพฤติกรรมเช่นนี้
นางส่ายศีรษะเล็กน้อย “ไม่เหนื่อยเพคะ! ”
“เหอะ… เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้! เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ” จู่ๆ เสียงร้องของสัตว์ภูตก็ดังขึ้น
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พวกเขาเห็นเพียงสัตว์ภูตเดินกลับไปกลับมาระหว่างกระดานที่สิบและกระดานที่เล่นจบแล้วไม่หยุด นางร้องเสียงหลง “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้อย่างไร” นางหัวเราะปนร้องไห้ราวกับกำลังคลุ้มคลั่ง
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?
ท่ามกลางความสงสัย ซูจิ่นซีจึงเดินไปยืนยังตำแหน่งที่สัตว์ภูตยืนอยู่เมื่อครู่ และมองไปยังกระดานทั้งสิบที่เล่นเสร็จแล้ว
นางเห็นเพียงหมากสีดำขาวสลับกัน หมากสีขาวไม่มีรูปแบบอันใดชัดเจน ทว่าหมากสีดำทุกเม็ดบนกระดานเป็นหมากที่สัตว์ภูตใช้เล่น ซึ่งมันเป็นรูปแบบการสร้างตัวอักษรขึ้นมาหนึ่งคำ
สิบกระดานหมากรุกก็มีสิบตัวอักษรพอดี
แบ่งเป็น ไม่พบชั่วชีวิต พรากจากยากพบพาน
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเห็นแล้วตกตะลึงไปชั่วขณะ
โดยเฉพาะซูจิ่นซี ตอนที่เล่นหมากรุก นางรู้สึกได้ว่าตำแหน่งของหมากรุกกลนั้นวิจิตรมาก ราวกับประกอบด้วยความไม่เที่ยงของชีวิตและหนทางการกลับชาติมาเกิดตามกฎของธรรมชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เล่นหมากรุกกระดานที่เก้าและสิบ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยพลัง
นางรู้สึกว่าผู้ที่ตั้งหมากรุกทั้งสิบกระดานได้บรรลุไปถึงระดับสูงสุดเรียบร้อยแล้ว
ไม่คิดเลยว่า หมากรุกกลทั้งสิบกระดานสามารถถึงขั้นสุดยอดได้เช่นนี้
ผู้ใดเป็นคนวางหมากกลนี้กันแน่?
ความหมายแฝงคืออันใด?
“อ้าก… อ้าก… ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ฮ่า ฮ่า ฮ่า… ”
เสียงกรีดร้องของสัตว์ภูตดังขึ้นเรื่อยๆ นางทึ้งผมของตนเองไม่หยุด ตอนที่ซูจิ่นซีมองไปที่นางอีกครั้ง นางก็กลายร่างเป็นผู้อื่นไปแล้ว
พูดให้ถูกคือ นางได้กลายร่างเป็นร่างเดิมของตนเองแล้ว
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเห็นนางเป็นเพียงเด็กอายุสี่ห้าขวบสวมในชุดเอี๊ยมสีแดง
ทว่าในตอนนี้ นางราวกับฟื้นคืนสู่ร่างของผู้ใหญ่และสูงกว่าก่อนหน้านี้มาก ซึ่งสูงกว่าซูจิ่นซีด้วยซ้ำ
นางสวมชุดกระโปรงยาวลายเมฆาสีขาวที่พลิ้วไหวดุจเทพเซียน ที่เอวผูกด้วยแถบไหมร้อยดอกไม้หลากสี บนไหล่สวมผ้าคลุม เส้นผมเป็นสีขาวหิมะ สีเดียวกับหิมะที่ปกคลุมบริเวณโดยรอบ
ใบหน้า…
เป็นใบหน้าที่ซูจิ่นซีไม่รู้จะใช้คำใดมาพรรณนา แม้หางตาและหน้าผากจะมีริ้วรอยตามวัยชัดเจน ทว่าร่องรอยไม่ลึกนัก ผิวพรรณกระจ่างใสนุ่มลื่น คิ้วราวกับภาพวาด ดวงตาทั้งสองสดใสดั่งดวงจันทร์กระจ่าง แต่ภายในแววตาตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ความโศกเศร้า ทั้งยังเยาะเย้ยตนเอง
ใบหน้าเช่นนี้ หากไม่มีริ้วรอยตามอายุขัยหลงเหลืออยู่บนใบหน้า ดูแล้วคงเหมือนคนอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น
นางร้องไห้อย่างคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้นก็ลื่นถลาลงไปในหิมะ สองมือถูกน้ำแข็งและหิมะขูดจนเลือดสีแดงสดค่อยๆ ไหลออกมาจากบาดแผล และก่อตัวเป็นรูปร่างที่ชัดเจนบนพื้นหิมะ ชวนให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกเจ็บปวดใจ
ทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย นางหันไปมองกระดานหมากรุกที่อยู่ด้านหลัง มองไปยังตัวอักษรที่อยู่บนกระดาน
“เหตุใด… เหตุใดเจ้าต้องทำกับข้าเช่นนี้? ”
“เหตุใดเจ้าไม่รีบบอกความในใจของเจ้า แต่กลับให้ข้าคาดเดาเอาเองอยู่นานหลายปีถึงเพียงนี้? ”
“เหตุใด… เหตุใด… ”
“อ้าก… อ้าก… อ้าก… ”
แม้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาจะร้อนใจ ต้องการตามหาบุตรของท่านเทพ จากนั้นก็ออกจากดินแดนลึกลับเสวียนคงและหุบเขาหลูเหว่ยโดยเร็วที่สุด ทว่าเมื่อเห็นสถานการณ์ของสัตว์ภูตที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจเอ่ยปากถามหาบุตรของท่านเทพเป็นแน่
ดังนั้นทั้งสองจึงทำได้เพียงรอให้สติอารมณ์ของสัตว์ภูตสงบลง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าก่อนหรือหลังที่ร่างกายและใบหน้าของสัตว์ภูตเปลี่ยนแปลงไป ก็ล้วนทำให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาประหลาดใจอย่างมาก
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสัตว์ภูตตนนี้มีอดีตที่คิดไม่ตกอย่างไร? ขณะที่นางเห็นตัวอักษรทั้งสิบตัวนั้นจึงได้อารมณ์แปรปรวนหนักเช่นนี้
หลังจากที่กรีดร้องอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม อารมณ์ของสัตว์ภูตก็ค่อยๆ สงบลง
ซูจิ่นซีกำลังจะอ้าปากถามเรื่องบุตรของท่านเทพ ทว่าสัตว์ภูตกลับเอ่ยขึ้นก่อน “เจ้ากำลังตามหาบุตรของคนผู้นั้นใช่หรือไม่? เอาไปเถิด!”