สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 27 ตอนที่ 801 ดินแดนเมฆา
สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความขึงขัง เขาถือกระบี่เสวียนหยวนพุ่งเข้าโจมตีท่านเทพ
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะอัญเชิญกระบี่เฟิ่งอวี่ออกมา และตามเยี่ยโยวเหยาเข้าไปต่อสู้กับท่านเทพ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เดิมทีท่านเทพที่กำลังคลุ้มคลั่ง เมื่อเห็นกระบี่เสวียนหยวนในมือของเยี่ยโยวเหยาก็เริ่มสงบลง และมีท่าทางเหมือนจะกลัวเยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย
เห็นเช่นนี้แล้ว ซูจิ่นซีคงไม่ต้องทำสิ่งใด นางจึงก้าวออกมา
กระบี่เสวียนหยวนในมือของเยี่ยโยวเหยายังคงกวัดแกว่งส่งพลังที่เฉียบคมออกไปอย่างต่อเนื่อง และฟันไปที่ร่างของมังกรไฟหลายครั้ง ทว่ามังกรไฟไม่มีทางหลีกเลี่ยง จึงส่งเสียงคร่ำครวญออกมา
เด็กน้อยที่ต่อสู้กับท่านเทพก่อนหน้านี้ล้มลงกับพื้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัยบางอย่าง
เด็กน้อยอีกคนรีบลุกขึ้น
“ศิษย์พี่ ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
เด็กน้อยส่ายศีรษะแผ่วเบา “ข้าไม่เป็นอันใด ทว่า… ประหลาดใจเล็กน้อย ท่านเทพหวาดกลัวกระบี่ในมือของโยวอ๋องมาก ดูสิว่าโยวอ๋องถือกระบี่อันใดอยู่ในมือ? ”
เด็กน้อยอีกคนจ้องไปที่กระบี่ยาวของเยี่ยโยวเหยา ซึ่งกำลังกวัดแกว่งอย่างต่อเนื่อง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกาย “หากข้ามองไม่ผิด… กระบี่ที่โยวอ๋องถืออยู่ในมือน่าจะเป็นกระบี่เสวียนหยวน”
“ไม่แปลก… ”
ดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองทอประกายสดใส
กระบี่เสวียนหยวนเป็นอาวุธที่จักรพรรดิฝูซีใช้ออกศึกทำสงคราม ตอนนั้นท่านเทพเป็นสัตว์พาหนะของจักรพรรดิฝูซี ดังนั้นเขาจึงหวาดกลัวกระบี่ในมือของโยวอ๋องมาก เพราะคงจำได้ว่ามันเป็นอาวุธของเจ้านายของเขาในตอนนั้น
เด็กน้อยทั้งสองอยู่ไม่ไกลจากซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจึงได้ยินคำพูดเหล่านี้อย่างแน่นอน
ไม่แปลกที่สัตว์ภูตต้องการให้เยี่ยโยวเหยาจัดการกับท่านเทพ นึกถึงก่อนหน้านี้ที่สัตว์ภูตต่อสู้กับซูจิ่นซีในถ้ำปีศาจ นางทราบอยู่ก่อนแล้วว่ากระบี่ในมือของเยี่ยโยวเหยาคือกระบี่เสวียนหยวน
ตอนนี้ แพ้ชนะได้กำหนดชัดเจนแล้ว เยี่ยโยวเหยาถือกระบี่เสวียนหยวนและเป็นฝ่ายได้เปรียบ ในที่สุดท่านเทพก็ล่าถอย ไม่ว่าท่าทางของเขาจะคลุ้มคลั่งเพียงใด ทว่าเขาก็ไม่กล้าทำร้ายเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาถือกระบี่เสวียนหยวนไว้ในมือทั้งสอง ก่อนจะกระโจนขึ้นกลางอากาศ และฟาดกระบี่ใส่ท่านเทพ
กระบี่ที่ฟาดฟันท่านเทพครั้งนี้ แม้จะไม่ตาย แต่คงบาดเจ็บไม่เบาเป็นแน่
“โยวอ๋องโปรดออมมือ! โยวอ๋องโปรดออมมือ! ”
ทันใดนั้น สัตว์ภูตก็ออกมาจากกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซีและร่อนลงบนพื้น จากนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปหาท่านเทพด้วยท่าทางตื่นตระหนก
ทันทีที่เห็นสัตว์ภูต ซูจิ่นซีพลันตกตะลึง นางรีบเตือนสติเยี่ยโยวเหยาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยโยวเหยา… ”
แม้เยี่ยโยวเหยาจะหยุดทันเวลาเมื่อได้ยินเสียงเตือนของซูจิ่นซี ทว่าท่านเทพยังได้รับบาดเจ็บจากพลังของกระบี่เสวียนหยวนที่ฟันออกมา
“อ้าก… ”
เสียงคำรามของมังกรที่เจ็บปวดดังขึ้น จากนั้นท่านเทพก็ไถลลงไปยังเปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่ด้านข้าง
“พี่หลง… ”
สัตว์ภูตกระโดดตามท่านเทพลงไปโดยไม่ลังเล
“ท่านเทพ… ”
ท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ซูจิ่นซีมีท่าทางตกตะลึง “เยี่ยโยวเหยา ช่วยคนด้วย! ”
จากนั้นสองสามีภรรยาก็ร่วมมือกัน กระโดดตามสัตว์ภูตลงไป
อุณหภูมิความร้อนของเปลวเพลิงนั้นไม่ธรรมดา ราวกับเพลิงอัคคีที่ลุกไหม้ในขุมนรก เพียงสัมผัสผิวหนังก็ปรากฏเลือดไหลซึมออกมา
ทว่าโชคดีที่วรยุทธ์ของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาถือว่าไม่เลว พวกเขาจึงช่วยชีวิตท่านเทพและสัตว์ภูตทั้งสองไว้
ขณะที่ช่วยคนขึ้นมาได้ ท่านเทพได้กลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว
เขาสวมชุดสีดำเข้ม ผมยาวสีขาวราวหิมะพาดอยู่ด้านหลัง ใบหน้า…
เมื่อเห็นใบหน้านั้น ซูจิ่นซีก็ตกตะลึงไม่น้อยไปกว่าตอนที่เห็นใบหน้าของสัตว์ภูต
มันเป็นใบหน้าที่มีร่องรอยแกะสลักอันไร้ความปรานี แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจและกลั้นหายใจเมื่อเห็นใบหน้านี้
เนื่องจากเขาตกลงไปเร็วกว่า ดังนั้นเสื้อผ้าบนร่างจึงถูกเปลวเพลิงเผาไหม้บางส่วน ตามร่างกายหลายจุดก็ถูกไฟไหม้เช่นกัน
เวลานี้เขากำลังนอนหายใจรวยรินบนพื้น ราวกับกำลังหายใจเฮือกสุดท้าย และสามารถสิ้นใจได้ตลอดเวลา
“พี่หลง พี่หลง… พี่เป็นอันใด พี่หลง… ”
“เป็นความผิดของข้าเอง เป็นความผิดของข้าเอง… ข้าไม่ควรบอกพระชายาโยวอ๋องให้โยวอ๋องใช้กระบี่เสวียนหยวนจัดการกับท่าน… มันเป็นความผิดของอวิ๋นเอ๋อร์! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตอนที่ท่านเทพเห็นสัตว์ภูตมองตนด้วยแววตาลึกซึ้ง การแสดงออกก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันที “เจ้า… เจ้ามาได้อย่างไร? ผู้ใดอนุญาตให้เจ้ามา? เจ้ารีบไปให้พ้น… รีบไปให้พ้น… ”
ทว่าสัตว์ภูตอวิ๋นเชวี่ยกลับไม่รู้สึกถึงความโกรธของท่านเทพเลย นางปีนขึ้นอยู่ข้างกายของท่านเทพ สอดหัวของนางเข้าไปในอ้อมแขนของเขา และน้ำตาก็ไหลรินลงมาจากหางตา
สัตว์ภูตส่ายศีรษะไปมา “ไม่… อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ไป… อวิ๋นเอ๋อร์ต้องการอยู่กับพี่หลง อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ไป… ”
ท่านเทพพิโรธอย่างมาก เขามองเด็กน้อยทั้งสอง “ผู้ใดปล่อยนางเข้ามา? ยังไม่รีบนำตัวนางออกไปอีก? ”
“ขอรับ! ”
เด็กน้อยทั้งสองตอบรับและเดินไปหาอวิ๋นเชวี่ย!
อวิ๋นเชวี่ยตกใจ นางมีท่าทางตื่นตระหนกทันที ทั้งยังกอดท่านเทพไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ไม่… อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ไป… ไม่ไป… ไม่ไป ไม่ไป! พี่หลง สายไปแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์พบท่านแล้ว อวิ๋นเอ๋อร์ไม่จากไป โปรดอย่าขับไล่อวิ๋นเอ๋อร์ไปเลยได้หรือไม่? ”
เด็กน้อยทั้งสองเห็นท่าทางของอวิ๋นเชวี่ย ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ท่านเทพยังคงโกรธจัด “ยืนเหม่อทำอันใด? รีบพานางออกไปเดี๋ยวนี้”
เขาพูดพลางผลักอวิ๋นเชวี่ยอย่างแรง
แขนทั้งสองข้างของอวิ๋นเชวี่ยราวกับโซ่เหล็กที่โอบรัดท่านเทพแน่น น้ำตาของนางยังคงไหลพราก ทั้งยังร้องไห้คร่ำครวญจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน
“ไม่… พี่หลง ต่อไป แม้อวิ๋นเอ๋อร์จะต้องตาย ก็จะอยู่เคียงข้างท่าน ไม่มีผู้ใดแยกพวกเราได้อีก อวิ๋นเอ๋อร์ หมากกลสิบกระดานในดินแดนเมฆาที่ท่านทิ้งไว้ อวิ๋นเอ๋อร์แก้ได้แล้ว อวิ๋นเอ๋อร์รับรู้ถึงความคิดของท่าน ในใจของท่านมีอวิ๋นเอ๋อร์อยู่ใช่หรือไม่? ท่านหลอกตัวเอง ทว่าไม่อาจหลอกผู้อื่นได้ ท่านมีอวิ๋นเอ๋อร์อยู่ในใจ อวิ๋นเอ๋อร์ไม่ควรจากท่านไป แม้ตายก็ไม่จากท่านไป”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ท่านเทพพลันตกตะลึงชั่วขณะ ดวงตาแก่ชราทั้งสองจ้องมองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ดินแดนเมฆา…
ผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ มือของอวิ๋นเชวี่ยก็ถูกดึงอย่างรุนแรง “เจ้าเข้ามาได้อย่างไร? ผู้ใดช่วยเจ้าเปิดผนึกดินแดนเมฆา? เจ้าแก้ไขหมากกลทั้งสิบกระดานได้อย่างไร? ”
อวิ๋นเชวี่ยไม่เอ่ยปากและไม่พูดสิ่งใดอีก นางกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมตอบท่านเทพ มือที่ถูกท่านเทพจับไว้ยิ่งใช้แรงบีบหนักมือมากขึ้น
แม้อวิ๋นเชวี่ยจะพยายามต่อต้านท่านเทพ ทว่ามือที่เขาจับอวิ๋นเชวี่ยกลับแน่นมากจนทำให้เลือดไหลรินออกมา
เลือดค่อยๆ ไหลลงไปตามนิ้วเรียวยาว และหยดลงบนชุดสีชมพูของอวิ๋นเชวี่ย จากนั้นจึงกระจายออกราวกับดอกม่านถัวหลัวที่เบ่งบานท่ามกลางเกล็ดหิมะ ชวนให้หลงใหลยิ่งนัก
เมื่อเห็นความงามนั้น แววตาโกรธเกรี้ยวของท่านเทพก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ ความหงุดหงิดของเขาค่อยๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็ยอมจำนนนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นิ้วของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ค่อยๆ สัมผัสมือที่บาดเจ็บของอวิ๋นเชวี่ยอย่างอ่อนโยน
เสียงของเขาแหบแห้ง “เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้? ”
น้ำตาของอวิ๋นเชวี่ยหยดลงบนมือของท่านเทพ
“อวิ๋นเอ๋อร์ไม่กลัวตาย แต่กลัวการพลัดพรากจากพี่หลงทั้งที่ยังมีชีวิต หลังจากไม่ได้พบพี่หลง ข้าก็ทนทุกข์ทรมานมานานนับหมื่นปีแล้ว”
ชัดเจนว่านี่คือสิ่งที่อวิ๋นเชวี่ยพูดกับท่านเทพ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจของซูจิ่นซีกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับคำพูดนั้นวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทำให้นางเจ็บปวดใจอย่างกะทันหันจนแทบหายใจไม่ออก
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย และอดมองไปที่เยี่ยโยวเหยาไม่ได้