สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 28 ตอนที่ 811 ประตูแดนนรก
ท่านเทพพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “นอกจากนี้ ประตูโลหิตทมิฬไม่ใช่ประตูทั่วไป ตำนานเล่าว่า ก่อนยามจื่อ เมื่อแสงจันทร์กระจ่างส่องลงไปในบ่อน้ำและสะท้อนบนประตูพอดี ทุกคนสามารถเห็นเรื่องราวที่สำคัญที่สุดในชีวิตตนเองได้จากประตูบานนี้”
ทำแบบนี้ก็ได้หรือ?
ซูจิ่นซีมองประตูบานนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้น แววตาของนางก็สงบนิ่ง และสังเกตตำแหน่งของแสงที่ส่องลงบนปากบ่อน้ำ
เวลานี้แสงจันทร์อยู่ที่สะพานอีกฝั่ง เดาว่าหลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วยามคงส่องกระทบลงบนประตูโลหิตทมิฬ
ประตูโลหิตทมิฬเปิดในยามจื่อ กล่าวได้ว่าพวกเขามีเวลาเพียงครึ่งชั่วยามในการดูเรื่องราวที่สำคัญที่สุดในชีวิตให้ชัดเจนผ่านประตูโลหิตทมิฬ
เรื่องราวที่สำคัญที่สุดในชีวิต… ประโยคนี้ ซูจิ่นซีใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่าในใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดภายในใจจึงรู้สึกหนักอึ้งชั่วขณะ
นางไม่เคยคิดมาก่อนว่า เรื่องราวที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนคือสิ่งใด ในตอนนี้ สำหรับนาง นางคิดว่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือการได้มองเยี่ยโยวเหยาปกครองใต้หล้า จับมือเขาดูชาติบ้านเมืองราวกับภาพวาด
ทว่าโชคชะตาจะเป็นไปตามที่นางปรารถนาหรือ?
ชั่วครู่ สีหน้าของคุณชายฉู่และเยี่ยโยวเหยาพลันนิ่งครึมเช่นกัน
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยา ดวงตาดำขลับลึกล้ำหยุดอยู่บนร่างของซูจิ่นซี เขาเดินมายืนข้างๆ นาง และจับมือนางแน่น
“วางใจ ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ข้าจะอยู่กับเจ้า! ”
เรื่องนี้ ซูจิ่นซีไม่เคยสงสัยแม้แต่น้อย
ทั้งสองจับมือกันและนั่งลงบนบันไดหินด้านข้าง คุณชายฉู่เองก็นั่งลงด้านข้างอย่างเงียบงัน เป็นเวลาครู่หนึ่งที่ไม่มีผู้ใดพูดอันใด ท่านเทพกำลังจะกลับเข้าไปในกระบี่เสวียนหยวนอีกครั้ง
ซูจิ่นซีถามอย่างสงสัย “ท่านเทพไม่ต้องการดูหรือว่าสิ่งที่แสดงบนประตูโลหิตทมิฬคืออันใด? ”
“ข้าอยู่ดินแดนลึกลับเสวียนคงกว่าหมื่นปี แสงและเงาเปรียบเสมือนน้ำ ข้ายังต้องดูสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตอีกหรือ? ”
ใช่!
สำหรับท่านเทพ เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตนี้ เกรงว่าเวลาเหล่านั้นคงติดอยู่ในดินแดนลึกลับเสวียนคง
เวลาผ่านไปหลายหมื่นปี ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ไม่ว่าดีหรือร้าย ไม่ว่าเป็นหรือตาย เกรงว่าสำหรับเขา คงไม่มีอันใดต้องหวาดกลัวอีกแล้ว
เขายังต้องกลัวว่าในชีวิตจะเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้นอีกหรือ?
สำหรับเขา หากชีวิตนี้ยังมีเรื่องอันใดให้ยึดติด เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่วันหนึ่ง อวิ๋นเชวี่ยจะสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้
ซูจิ่นซีไม่ได้พูดอันใดอีก บรรยากาศโดยรอบเงียบสงัดครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาคุยกันเป็นครั้งคราวเพียงสองสามประโยค หลังจากนั้นจึงถามคุณชายฉู่อีกสองสามประโยค เวลาผ่านไปเรื่อยๆ
ในไม่ช้า แสงจันทร์กระจ่างก็ส่องกระทบลงบนบ่อน้ำ และสาดส่องมาถึงตำแหน่งบันไดหน้าประตูโลหิตทมิฬ ครู่หนึ่ง ทั้งสามคนพลันเกิดความรู้สึกตื่นเต้น
ไม่รู้เพราะเหตุใด ฝ่ามือของซูจิ่นซีที่ถูกเยี่ยโยวเหยาจับไว้จึงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ แม้แต่เยี่ยโยวเหยาที่ไม่เคยเปิดเผยเรื่องราวในใจที่ไม่จำเป็น นอกจากการแสดงออกด้วยสีหน้าเย็นชา ยังมีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย
การนับเวลาถอยหลังเหมือนการนับจังหวะการเต้นของหัวใจตนเอง ซูจิ่นซีสามารถรับรู้ได้ถึงการเต้นของหัวใจ
ในที่สุด แสงจันทร์ก็สาดส่องลงบนประตูโลหิตทมิฬอย่างสมบูรณ์ แสงวาววับของโลหะพลันสะท้อนไปทั่วผิวน้ำของสระเย็น
ซูจิ่นซีพบว่าแววตาของคุณชายฉู่และเยี่ยโยวเหยาที่มองประตูโลหิตทมิฬดูทอดยาวและเลื่อนลอยเล็กน้อย คงเป็นเพราะพวกเขาเห็นในสิ่งที่ประตูโลหิตทมิฬต้องการให้พวกเขาเห็น
ดังนั้นดวงตาของซูจิ่นซีจึงมองไปยังประตูโลหิตทมิฬ ครู่หนึ่ง ราวกับดวงตาของนางถูกสิ่งใดบางอย่างดึงดูดจนไม่อาจละสายตาได้
มันเป็นสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย มองดูเหมือนสุสานโบราณ
นอกจากกำแพงหินเย็นยะเยือกแล้ว ยังมีโลงศพหินอยู่ด้วย
กำแพงที่อยู่ในระยะไกลเปิดออกอย่างสมบูรณ์ราวกับว่ากำลังนำไปสู่อีกโลกหนึ่ง ในโลกที่มีดอกม่านถัวหลัวเปล่งประกายสีแดงสด กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ส่องสะท้อนให้สุสานโบราณเย็นยะเยือกเปี่ยมไปด้วยประกายสีแดงเลือด
ภาพเหตุการณ์นี้ ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นและไม่เคยพบมาก่อน มันคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตของนาง
ภาพในอนาคตที่นางเห็นไม่ใช่เยี่ยโยวเหยา และไม่ใช่เยี่ยโยวเหยาที่นั่งปกครองบ้านเมือง ทั้งยังไม่ใช่ภาพที่นางครองคู่กับเยี่ยโยวเหยา ทว่าเป็นจิ่วหรง
จิ่วหรงในชุดสีขาวหิมะไร้ซึ่งรอยยับย่น ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของฝุ่นผง เขายังคงบริสุทธิ์และสง่างามอยู่เช่นนั้น
ในภาพ เขาเดินไปเดินมาท่ามกลางทะเลดอกปี่อั้นสีแดงเลือด มุมปากมีรอยยิ้มแห่งความสุขที่ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าสายตาของเขากลับไม่มีสมาธิ เป็นสายตาที่เลื่อนลอยราวกับเด็กที่กำลังสับสนและหลงทาง
ซูจิ่นซีมองเห็นตนเองสวมชุดสีแดงยืนอยู่ท่ามกลางทะเลดอกปี่อั้นในสุสานโบราณ นางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อพุ่งไปหาจิ่วหรง ทว่ามีม่านที่มองไม่เห็นกั้นอยู่ระหว่างสุสานโบราณและทะเลดอกปี่อั้น นางไม่มีวิธีเดินทะลุผ่านมันไปได้
นางน้ำตาไหลอาบแก้ม และร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “จิ่วหรง… ท่านออกมา จิ่วหรง! ประตูนรกใกล้จะปิดแล้ว ท่านออกมา! ถ้าไม่ออกมา ท่านจะตายอยู่ข้างใน วิญญาณของท่านจะแตกสลาย จิ่วหรง… ท่านออกมา! จิ่วหรง… ท่านอาจารย์… โปรดออกมา หันมามองข้าได้หรือไม่ ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์… ”
ซูจิ่นซียังคงใช้มือทุบม่านลวงตาตรงหน้าไม่หยุด และพุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ทว่านางกลับไม่สามารถผ่านไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว
จิ่วหรงยังคงมีความสุข ทว่าแววตาเลื่อนลอย เหมือนเขาไม่ได้ยินเสียงของซูจิ่นซี พวกเขา… ราวกับมีชีวิตอยู่ระหว่างสองโลก
ม่านตรงหน้านั้นไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถทำลายได้ ซูจิ่นซีทุบลงไปบนนั้นไม่หยุดจนข้อมือแตก สองมือเต็มไปด้วยเลือด ทว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดแม้แต่น้อย นางร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งและพุ่งชนไม่หยุด
นางไม่เคยหวาดกลัว สิ้นหวัง และหมดหนทางเช่นนี้มาก่อน
“อาจารย์… ท่านหันมามองข้าได้หรือไม่? มองข้าสักครู่ ท่านมองข้าเพียงชั่วครู่ได้หรือไม่?
พิณเฟิ่งหวงบนหอดูดาว ข้านำกลับมาแล้ว ดอกไห่ถังหลังหุบเขาเทียนอีบานแล้ว ยังมีเข็มเหมันต์เทวะที่ท่านมอบให้ข้า… เข็มเหมันต์เทวะ… ” ซูจิ่นซีดึงเข็มเหมันต์เทวะออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้นอย่างร้อนรน “ข้าพกติดตัวไว้ตลอดเวลา ท่านอาจารย์… ท่านมองข้าสักครู่ได้หรือไม่? ท่านออกมา… ท่านรีบออกมา! ท่านจะตายอยู่ที่นั่น! ”
“ท่านอาจารย์ หุบเขาเทียนอีต้องการท่าน ใต้หล้านี้ต้องการท่าน เจ้าจิ้งจอกเก้าหางต้องการท่าน พวกเราต้องการท่าน… ท่านไม่อาจทิ้งพวกเราไปได้ ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์… ”
“ท่านอาจารย์ ท่านออกมาได้หรือไม่? ซีเอ๋อร์ขอร้องท่าน ท่านอาจารย์เคยรับปากข้า ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น ท่านจะไม่ทิ้งข้า! ท่านอาจารย์ ท่านรับปากข้าแล้ว ชีวิตนี้จะรับข้าเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว ท่านอาจารย์ ท่านรับปากข้าว่าท่านจะใช้ชีวิตให้ดี ท่านรับปากจิ่นซีแล้ว ท่านอาจารย์… ”
ซูจิ่นซีพูดพลางน้ำตาไหลอาบแก้ม ดวงตาทั้งสองแดงก่ำ เบ้าตาปริแตก
ทันใดนั้น…