สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 29 ตอนที่ 870 รนหาที่ตาย
เมื่อทุกคนได้เห็นการกระทำของตงหลิงหวง ก็เหมือนกับได้เห็นความสุขแห่งชัยชนะ ดวงตาของทุกคนเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและความปีติ
ทว่าพวกเขากลับกลั้นเอาไว้ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เพราะกลัวว่าจะทำให้ฮ่องเต้หลู่ตื่นตัวจนรู้ว่าตงหลิงหวงลอบโจมตีจากทางด้านหลัง
ในที่สุด ตงหลิงหวงก็เข้าใกล้ฮ่องเต้หลู่ด้วยความเร็วปานสายลม ทุกคนตื่นเต้นจนเกือบจะขาดอากาศหายใจตาย
ทว่า…
ไม่มีผู้ใดคาดคิด ในตอนที่พัดเหล็กในมือของตงหลิงหวงอยู่ห่างจากคอของฮ่องเต้หลู่เพียงคืบเดียว เปลวเพลิงในดวงตาของฮ่องเต้หลู่พลันลุกโชน เขาหมุนตัวกลับมาและบีบพัดเหล็กในมือของตงหลิงหวง
ศาสตราเทพที่สร้างด้วยเหล็กกล้าทมิฬ หลอมด้วยเพลิงทมิฬโบราณ นึกไม่ถึงว่าจะถูกฮ่องเต้หลู่บีบจนยับยู่ยี่เหมือนกระดาษก้อน จากนั้นก็ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี
การกระทำของตงหลิงหวงทำให้ฮ่องเต้หลู่เดือดดาลอย่างไม่ต้องสงสัย เขาบีบคอตงหลิงหวงและยกนางขึ้นสูง
พลางขบกรามแน่น “เจ้าคิดหรือว่าจะสามารถทำให้ข้าบาดเจ็บได้ด้วยการลอบโจมตีที่ไม่ประเมินกำลังของตนเอง? เจ้าช่างโง่เขลาเหมือนบิดาของเจ้าไม่มีผิด สิ่งโง่ๆ ไม่ควรมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
ตงหลิงหวงถูกบีบคอแน่น ไม่นานนัก แก้มทั้งสองข้างของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วง นางพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว นับประสาอันใดกับการหักล้างการดูถูกเหยียดหยามจากฮ่องเต้หลู่
นางทำได้เพียงบีบมือของฮ่องเต้หลู่และดิ้นรนขัดขืนอย่างต่อเนื่อง…
หาทางรอดสุดชีวิต
“องค์รัชทายาท… ”
เหล่านักฆ่าที่อยู่ด้านล่างหอสูง ซึ่งเป็นคนของตงหลิงหวงต่างร้อนรน ไม่เว้นแม้แต่องครักษ์และองครักษ์เงาที่อยู่ห่างออกไปจากสวนดอกไม้ รวมถึงเหล่าขุนนางที่แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งฮ่องเต้หลู่ก็ล้วนเป็นกังวลแทนตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงยามอยู่ในแคว้นตงเฉินเปรียบดังตัวละครในตำนานที่มีอยู่จริง เป็นกระดูกสันหลัง บุคคลสำคัญของพวกเขามาโดยตลอด
แม้พวกเขาจะหวาดกลัว ทว่าไม่เคยคิดแค้น
กลับไม่คิดว่าวันนี้ นางจะถูกฮ่องเต้หลู่ทำราวกับเป็นลูกไก่ในกำมือ เพียงออกแรงบีบเล็กน้อย ศีรษะและลำตัวของตงหลิงหวงก็จะแยกจากกัน
พวกเขาตื่นตระหนกจนแทบหายใจไม่ออก
ผู้บัญชาการของฉีเฟิงและฉานเยวี่ยขบกรามแน่น พลางถือกระบี่ในมือและตะโกนดังลั่น “พี่น้องทุกคน พวกเราไปกันเถิด แม้ตายก็ไม่อาจปล่อยให้รัชทายาทได้รับความอัปยศเช่นนี้ นายท่านอับอายขายหน้าก็เพราะพวกเราไร้ความสามารถ! บุกเข้าไปกันเถิด! ”
เหล่านักฆ่าส่งสายตาอาฆาตพยาบาทตามคำสั่งของผู้บัญชาการ พวกเขาต่างถือกระบี่และพร้อมใจกันแทงไปที่ฮ่องเต้หลู่
ฮ่องเต้หลู่ไม่ได้หลบกระบี่เหล่านั้นที่แทงลงมาบนหลังของเขา
ในวินาทีถัดมา เปลวเพลิงในดวงตาของเขาพัดโหมกระหน่ำเล็กน้อย ความเดือดดาลรอบตัวเขารุนแรงยิ่งขึ้น ทันใดนั้น เขาก็โยนตงหลิงหวงออกไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหมุนตัวกลับมาและบีบกระบี่ที่แทงอยู่บนหลังของตนราวกับบดขยี้วัชพืช
ภายใต้พลังความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้หลู่ที่ส่งออกมา เขาไม่ได้ยับยั้งไว้แม้แต่น้อย ตอนที่ตงหลิงหวงถูกเขาบีบคอเมื่อครู่ นางเกือบจะขาดอากาศหายใจตายแล้ว ร่างกายสูญสิ้นเรี่ยวแรง
ตอนนี้ร่างของนางลอยไปข้างหลังอย่างต่อเนื่อง นางต้องการใช้พลังเพื่อหยุดตนเองไว้ ทว่ากลับใช้พลังใดๆ ไม่ได้เลย
ลางร้ายผุดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจ คราวนี้นางคงอับโชค ไม่แน่ว่าครั้งนี้ นางคงต้องจากลาโลกนี้ไปตลอดกาลแล้ว
จากไปตลอดกาล…
เพียงพริบตา ภาพเหตุการณ์มากมายพลันปรากฏเข้ามาในหัวของนาง
ใบหน้าอันแสนอ่อนโยนและมีเมตตาของเสด็จแม่
สีหน้าที่เข้มงวดของตงหลิงไท่ผู้เป็นบิดา ทว่าเปี่ยมไปด้วยความรัก
เหล่าพี่น้องที่เกิดพร้อมกันกับนาง พวกเขาต่อสู้อย่างหนักในสงครามโดยไม่หวาดกลัวความเป็นความตาย
น้องชายที่เติบโตมาด้วยกันกับนางตั้งแต่เล็กอย่างตงหลิงจวิ้น
ยังมี…
ยังมีซูจิ่นซีที่เพียงพบครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนม เข้าใจซึ่งกันและกัน
มีเยี่ยโยวเหยาที่สูงส่งราวกับเทพเจ้าและไม่สนสรรพสิ่งในโลก
ไหวชิ่งกงจู่แห่งแคว้นไหวเจียงที่พบกันเพียงครั้งเดียวก็พูดว่า ‘ตงหลิงหวง ข้าจดจำเจ้าแล้ว! ข้าไหวชิ่ง ในชีวิตนี้ไม่เคยชื่นชมผู้ใด ยกเว้นซูจิ่นซีหนึ่งคนและเจ้า ตงหลิงหวงอีกหนึ่งคน’
ยังมีถังเสวี่ยผู้ไร้เดียงสา…
มีอู๋จุน เจ้าแห่งหุบเขาเทพโอสถที่สวมชุดสีแดงทรงเสน่ห์
และยังมีอวิ๋นจิ่น ผู้มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ที่อายุน้อยแห่งแคว้นจงหนิง ผู้ที่ลึกลับคาดเดาไม่ได้ ใจดีและอบอุ่นอย่างยากจะหาผู้ใดเปรียบ เขาเฉยชากับคนทั้งโลก ทว่ากลับมอบรอยยิ้มที่ราวกับดอกไห่ถังเบ่งบานในเดือนสามให้ซูจิ่นซีเพียงผู้เดียว
ยังมี…
ยังมีคนอีกมากมายและภาพเหตุการณ์อีกหลายฉาก
ภาพสุดท้ายหยุดอยู่ที่ร่างของคนผู้หนึ่ง
ร่างนั้นมีใบหน้าตาคมสันเป็นหนึ่ง งดงามหาผู้ใดเปรียบ มีความเอาแต่ใจของเยี่ยโยวเหยาสามส่วน มีสายตามองการณ์ไกลของหมอหลวงอวิ๋นสามส่วน และมีเสน่ห์เหลือร้ายของอู๋จุนสามส่วน ส่วนที่เหลือคือความหยิ่งทะนงที่เป็นของฉีอ๋อง มู่หรงฉี
เพียงเขาจ้องกลับมาและแย้มยิ้ม ก็สามารถโค่นล้มทุกสิ่งทุกอย่างได้
ในห้องลับจวนฉีอ๋อง เขาพูดว่า ‘หวงเอ๋อร์ ข้ามู่หรงฉีให้คำสัตย์ว่าจะรับผิดชอบเจ้าชั่วชีวิต’
ที่ชายแดนระหว่างแคว้นตงเฉินและแคว้นหนานหลี เขาหวดม้าเข้ามา ‘กินเสร็จก็คิดหนี หวงเอ๋อร์ คงไม่ดีกระมัง? ’
ยามที่สองกองทัพทำสงคราม เขาเข้ามาในค่ายของศัตรูกลางดึกและพบกับนางโดยบังเอิญ เขาพูดว่า ‘ชีวิตนี้ ข้าไม่มีวันหันกระบี่เข้าหาเจ้า’
ที่หุบเขาหลูเหว่ย เขาพูดว่า ‘หวงเอ๋อร์ ข้ากับจงจื่อเยียนเคยมีช่วงเวลาด้วยกันจริงๆ ทว่ามันเป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่จงจื่อเยียนกลายเป็นพระสนมของเสด็จพ่อ ข้าก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์และแบ่งเส้นที่ชัดเจนระหว่างนาง
ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลใจ เรื่องเช่นนี้ไม่มีสตรีใดไม่กังวลใจ ทว่าข้าชอบความกังวลใจของเจ้า ตลอดชีวิตที่เหลือนี้ ข้าจะรักเจ้าเพียงผู้เดียว’
ความทรงจำในอดีตอันแสนอบอุ่น โหดร้าย และเจ็บปวดเหล่านั้นดูเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ทว่าราวกับเป็นเรื่องในชาติก่อน ประเดี๋ยวใกล้ประเดี๋ยวไกล พัวพันร่างกายและจิตใจของนางราวกับการตกลงไปในขุมนรก และจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ
นักฆ่าฉีเฟิงและฉานเยวี่ย รวมถึงคนที่เหลือในสวนดอกไม้ เมื่อเห็นตงหลิงหวงถูกซัดกระเด็นไปก็พากันตกใจ ร่างของนางปลิวไปตามแรงลมอย่างรวดเร็ว และครั้งนี้ต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้หลู่จงใจเก็บพลังไว้ ไม่ได้หมายจะเอาชีวิตของตงหลิงหวง ทว่าครั้งนี้ เขาส่งตงหลิงหวงไปสู่เส้นทางแห่งความตาย
เมื่อเห็นว่าตงหลิงหวงกำลังจะชนเข้ากับกระบี่ที่เสียบอยู่บนกำแพงสีแดงในระยะไกล และคงต้องตายในไม่ช้า คนที่พอรู้วิชาตัวเบาต่างรีบเหาะไปยังทิศทางที่ตงหลิงหวงกำลังพุ่งไปเพื่อพยายามขัดขวางนาง
ทว่ากลับไร้ประโยชน์ เพราะพวกเขาอยู่ไกลจากตงหลิงหวงมากเกินไป ว่ากันตามระยะทาง พวกเขาไม่สามารถช่วยตงหลิงหวงได้เลย
ข้างหูของนางมีเสียงร้องเตือนดังเป็นระยะ และเสียงลมกระพือดังไม่หยุด ตงหลิงหวงหลับตาทั้งสองข้างลงเตรียมพร้อมอำลาและสวดภาวนา
“อย่า! ”
ทว่าผ่านไปครู่หนึ่ง ความเจ็บปวดและความหนาวเหน็บของความตายที่นางคาดหวังไว้ไม่ได้มาถึง กลับกัน ร่างกายของนางพลันอุ่นขึ้น รัศมีอันทรงพลังห่อหุ้มตนเองไว้ หลังจากนั้น นางก็ถูกรวบเข้าสู่อ้อมแขนอันอบอุ่นแนบแน่น
ก้นบึ้งหัวใจของตงหลิงหวงตกตะลึงอย่างรุนแรง นางรีบลืมตาขึ้น
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือดวงตาคู่งามที่คุ้นเคยราวกับจันทร์กระจ่าง หลังจากนั้น นางก็เบิกตากว้าง ทำให้นางเห็นใบหน้าและรูปร่างที่อยู่ในความทรงจำก่อนหน้านี้ ราวกับดวงจันทร์เจิดจ้าและสายน้ำที่ไหลริน
ตงหลิงหวงคิดว่าตนเองดูผิดไปจึงขมวดคิ้วอย่างหนักและมองอีกครั้ง เป็นมู่หรงฉีไม่ผิดแน่
มู่หรงฉีโอบกอดตงหลิงหวงและเหาะลงสู่พื้นดินอย่างมั่นคง ผู้คนที่ตื่นตระหนกและเป็นกังวลแทนตงหลิงหวงพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตงหลิงหวงนอนหอบหายใจเฮือกใหญ่อยู่ในอ้อมแขนของมู่หรงฉี หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ท่าทางของนางก็กลับมาเป็นปกติ นางกุมหน้าอกที่จุกเสียดเล็กน้อยและมองมู่หรงฉี
“เจ้ามาได้อย่างไร? ”
นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้นและบุกเข้ามาในพระราชวังแคว้นตงเฉิน กล่าวตามตรง ตงหลิงหวงรู้สึกซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ
ทว่าที่เขามาในเวลานี้ ไม่ชัดเจนว่าเป็นการรนหาที่ตายหรือ?