สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 30 ตอนที่ 887 อาบแล้วหรือยัง?
นอกจากซูจิ่นซีและตงหลิงหวงที่ยืนอยู่ตรงนั้น ยังมีคนอีกจำนวนมาก
ทุกคนต่างสงสัยและรอคอยคำตอบของตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงนิ่งเงียบอยู่นาน ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่าตงหลิงหวงจะต้องตอบข้อแรกกับซูจิ่นซีอย่างแน่นอน แววตาของตงหลิงหวงกลับมองซูจิ่นซีอย่างลึกซึ้ง
“ซูจิ่นซี ไม่ว่าอย่างไร มู่หรงฉีก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน ท่านไม่มีวันไม่สนใจเขา ถูกหรือไม่? ”
ตงหลิงหวงเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและยิ้มกว้างทันที
“เจ้าไม่พูด ข้าก็ไม่บังคับ แน่นอน ไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่มีวันเพิกเฉยต่อพี่ชายของข้า ข้ามีเรื่องที่ต้องไปแคว้นเป่ยอี้พอดี เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ข้าจัดการแทนเจ้าเอง ทว่าตอนนี้ ข้ายังไม่ไป เจ้าจัดการที่พักในแคว้นตงเฉินให้ข้ากับเยี่ยโยวเหยาก่อนเถิด”
แม้ระหว่างซูจิ่นซีกับตงหลิงหวงจะพบหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้ง ทว่าความรู้สึกของพวกนางดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกสนิทสนมอันใดบางอย่างโดยกำเนิด
แม้สุดท้ายแล้ว ตงหลิงหวงจะให้คำตอบที่คลุมเครือแก่ซูจิ่นซี ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่โทษตงหลิงหวงเพราะนางเข้าใจดี
ซูจิ่นซีจึงไม่ถามคำถามเช่นนี้อีก คำถามที่ว่าในใจตงหลิงหวง บ้านเมืองกับมู่หรงฉี สิ่งใดสำคัญกว่า
ตงหลิงหวงจัดการที่พักให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่ในแคว้นตงเฉิน
แม้จิ่วหรงจะให้ยาแก่มู่หรงฉีแล้ว ทว่าตงหลิงหวงยังคงกังวลใจอย่างมาก เมื่อจัดการงานในราชสำนักเสร็จก็รีบไปอยู่เป็นเพื่อนมู่หรงฉี
แม้ตงหลิงหวงจะไม่เคยยอมรับว่ารักใคร่มู่หรงฉี และไม่เคยพูดว่าในใจมีมู่หรงฉี ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตงหลิงหวงทำให้มู่หรงฉี ซูจิ่นซีเห็นมาโดยตลอด
เพื่อรักษาสภาพศพของมู่หรงฉีให้ดียิ่งขึ้น ซูจิ่นซีจึงเขียนเทียบยาสำหรับอาบให้ตงหลิงหวง และสั่งให้คนรับใช้ต้มยาขัดถูร่างกายให้มู่หรงฉีทุกวัน
วันนี้ตงหลิงหวงไม่ได้อยู่ที่ตำหนักบูรพา เมื่อซูจิ่นซีไปดูมู่หรงฉี นางก็พบว่านางกำนัลอาบน้ำยาให้มู่หรงฉีเสร็จพอดี
เนื่องจากตงหลิงหวงกำชับเอาไว้ล่วงหน้า ตอนที่ซูจิ่นซีมาถึงตำหนักบูรพาและไปดูมู่หรงฉี นางกำนัลที่ดูแลตำหนักบูรพาจึงไม่ขัดขวาง ดังนั้น ทุกคนในตำหนักบูรพาจึงเคารพซูจิ่นซีอย่างมาก
เมื่อเห็นซูจิ่นซี พวกเขาก็รีบคำนับนางทันที
“แม่นางซู! ”
ซูจิ่นซีโบกมือ “อาบน้ำยาเสร็จหรือยัง? ”
“เรียบร้อยแล้วเพคะ! ”
“ออกไปได้! ”
ทุกคนต่างถอยออกไป ซูจิ่นซีจึงเดินไปที่เตียงของมู่หรงฉีทีละก้าว
ทว่านางเพียงยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงและมองไปที่มู่หรงฉีอย่างเงียบงันโดยไม่ทำอันใด
สองปีแล้ว และเป็นเวลาสองปีที่นางข้ามมิติมายังโลกแปลกประหลาดแห่งนี้
เวลาสองปี ความทรงจำของคนสองคน นางไม่สามารถแยกแยะได้ชัดว่าตนเองคือซูจิ่นซีในสามพันปีต่อมา หรือซูจิ่นซีคนเดิมที่อยู่ในเวลานี้และสถานที่แห่งนี้
นางรู้สึกหวาดกลัว มีบางครั้งที่นางรู้สึกชัดเจนมากว่าตนเองคือผู้ใด ทว่ามีบางครั้งที่นางรู้สึกขัดแย้ง
ดังนั้น สำหรับมู่หรงฉีที่อยู่ในสถานะพี่ชาย บางครั้งความรู้สึกของนางก็เข้มข้น บางครั้งก็ห่างเหิน
นางรู้สถานะของตนเองและรู้จักมู่หรงฉีมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ดูเหมือนว่านางไม่เคยยืนมองพี่ชายผู้นี้ในระยะใกล้เช่นนี้ และไม่เคยพยายามที่จะเข้าใจเขา
ชาติก่อน นางเป็นเพียงเด็กกำพร้า บิดามารดาเสียชีวิต ไร้ญาติ ต้องอาศัยใต้ชายคาผู้อื่นตั้งแต่เล็ก ดังนั้นคำว่าพี่ชายจึงไม่มีผลอันใดกับนางมากนัก
ในเวลานี้ นางมองไปที่มู่หรงฉีอย่างเงียบงัน ทันใดนั้น ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในก้นบึ้งของหัวใจ นางเพิ่งตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว ตนยังมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน
ไม่เพียงมีพี่ชายเท่านั้น นางยังมีน้องชายอีกสองคน มีบิดา มีท่านย่า และมีมารดา
ณ เวลานี้ นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว
ราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นที่ส่องสว่างในฤดูใบไม้ผลิ
ดูเหมือนว่าน้ำแข็งและหิมะภายในจิตใจที่ไม่เคยละลายเป็นเวลาหมื่นปี กลับเริ่มละลายลงอย่างเชื่องช้า
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของซูจิ่นซีก็ปรากฏแสงสว่าง
นางนั่งย่อเข่า ดึงมือของมู่หรงฉีออกจากผ้าห่มและกุมเอาไว้แน่น
หลังจากนั้นจึงหลับตาทั้งสองข้าง และนำศพของมู่หรงฉีเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น
อาคมกำไลปี่อั้นเลื่อนขั้นจนถึงระดับสูงสุดแล้ว ตอนนี้ด้านในมีท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่ง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้ว กลิ่นดอกไม้หอมตลบอบอวล ราวกับสวรรค์บนดิน
บนแท่นบูชาที่อยู่ไกลออกไป กลีบดอกปี่อั้นกลีบหนึ่งบานสะพรั่ง ข้างดอกปี่อั้นมีจิ้งจอกเทพเก้าหางและสัตว์เทพกิเลนกำลังวิ่งเล่นอยู่ บนท้องฟ้ายังมีวิญญาณห้าสีกำลังโบยบิน
วิญญาณห้าตนนั้น ซูจิ่นซีได้มาตอนที่ไปเอาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่วิหารเทพหวงอิงก่อนหน้านี้
เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีเข้ามาในอาคมกำไลปี่อั้น วิญญาณทั้งห้าจึงรีบกลายร่างเป็นมนุษย์ สัตว์เทพกิเลนที่กำลังเล่นกับจิ้งจอกเทพเก้าหางกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่าและวิ่งไปหาซูจิ่นซี จิ้งจอกเทพเก้าหางยืนอยู่ที่เดิมและร้อง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ไม่หยุด
ซูจิ่นซีลูบศีรษะของสัตว์เทพกิเลน และให้ยาสมุนไพรล้ำค่าสองชิ้นเป็นรางวัลแก่สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเทพเก้าหาง หลังจากนั้น พวกมันกับวิญญาณทั้งห้าก็ถอยไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีจึงนำศพของมู่หรงฉีมาวางด้านข้างแท่นบูชาของผลึกดอกปี่อั้น
ซูจิ่นซีค่อยๆ ควบแน่นพลังบนผลึกดอกปี่อั้น กลีบดอกปี่อั้นทั้งห้าค่อยๆ เบ่งบาน ตำแหน่งเกสรดอกไม้ปรากฏให้เห็นเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ซูจิ่นซีจึงนำศพของมู่หรงฉีเข้าไปในพื้นที่ขนาดเล็กนั้น
ภายในพื้นที่เป็นห้องลับขนาดใหญ่ ศพของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจืออยู่บนเตียงหินภายในพื้นที่ ซูจิ่นซีนำร่างของมู่หรงฉีวางลงบนเตียง
นางยกมือขึ้นโบก ข้างเตียงหินของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือปรากฏเตียงหินอีกหลังหนึ่ง นางจึงนำร่างของมู่หรงฉีวางไว้บนเตียงนั้น และจับมือมู่หรงฉีอีกครั้ง
“พี่… ”
เสียงของซูจิ่นซีแผ่วเบาเล็กน้อย
“เสด็จพ่อกับท่านแม่หลับไปนานมากแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกวันข้าเห็นพวกเขานอนอยู่ที่นี่ ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
พี่ เมื่อไรท่านจะตื่น?
เห็นท่านนอนหลับใหล ข้าปวดใจมากเช่นกัน
ในอดีต ข้าไม่เคยมีบิดามารดา ไม่มีพี่ชาย ไม่มีญาติ เป็นพวกท่านที่สอนว่าความรักของครอบครัวคือสิ่งใด และทำให้ข้าได้รู้ว่าเวลานี้ ข้าไม่ได้มีเยี่ยโยวเหยาเพียงคนเดียว
พี่ ท่านต้องรีบตื่นขึ้นมา รีบตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสด็จพ่อและท่านแม่เร็วๆ ”
ซูจิ่นซีพูดคุยหลายอย่างกับมู่หรงฉีอีกครั้ง ส่วนใหญ่เป็นการให้กำลังใจมู่หรงฉีและมู่หรงอวิ๋นไห่ รวมถึงจงซีจือด้วย
เดิมที ซูจิ่นซีไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับมู่หรงฉีและจงซือจีมากนัก ต่อให้มีก็เป็นความคาดหวังในความรักของครอบครัวจากเจ้าของร่างเดิม
ทว่าตั้งแต่ที่รับร่างมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือมาจากฮูหยินเฒ่าหาน ทุกวันเวลาว่าง ซูจิ่นซีมักจะเข้าไปในกำไลปี่อั้นเพื่อเฝ้าดูพวกเขา
ในตอนแรก ซูจิ่นซีเพียงมองพวกเขาเฉยๆ โดยไม่ทำอันใด นานวันเข้า นางจึงพูดคุยกับร่างของมู่หรงอวิ๋นไห่และจงซีจือ กระตุ้นให้พวกเขารีบตื่นขึ้นมาโดยเร็ว
นางไม่รู้ว่าพวกเขาได้ยินหรือไม่ นางเพียงหวังว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังบางอย่างให้กับพวกเขา
หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็นำร่างของมู่หรงฉีออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น
ไม่มีผู้ใดเข้ามาในห้อง หลังจากซูจิ่นซีจัดการกับร่างของมู่หรงฉีเรียบร้อยแล้ว นางจึงออกจากตำหนักบูรพา
ตงหลิงหวงจัดการให้ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ตำหนักฟางเฟยในพระราชวัง หลังจากที่ซูจิ่นซีออกมาจากตำหนักบูรพา นางก็ตรงไปที่ตำหนักฟางเฟย
ขณะที่ซูจิ่นซีเดินเข้ามา เยี่ยโยวเหยากำลังจัดการกับจดหมายที่องครักษ์เงาส่งมา นางไปนานถึงเพียงนั้น ไม่คิดว่าตอนกลับมา เขายังจัดการกับจดหมายอยู่อีก ซูจิ่นซีอดขมวดคิ้วไม่ได้ ตอนเดินเข้าไป นางจึงจงใจย่ำเท้าหนักๆ
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงก้มหน้าดูจดหมายในมือ ราวกับไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าซูจิ่นซีกลับมาแล้ว
ทันใดนั้น คิ้วที่ขมวดเข้าหากันอยู่แล้วยิ่งผูกกันแน่นมากขึ้น ซูจิ่นซีจงใจกระทืบเท้าปึงปังและไอเสียงดัง
เยี่ยโยวเหยาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาเหลือบมองซูจิ่นซีและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “กลับมาแล้วหรือ? ” จากนั้นก็ดูเอกสารในมือต่อ
ใบหน้าของซูจิ่นซีดำทะมึน ทว่านางพยายามข่มความขุ่นเคืองในจิตใจ ‘พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ’ เปลงเพลิงเดือดพล่านอยู่บนศีรษะ นางพยายามยกยิ้มมุมปากอย่างสุดความสามารถ และค่อยๆ เดินไปหาเยี่ยโยวเหยา
“ท่านอ๋อง ยังจัดการไม่เสร็จอีกหรือเพคะ? ”
“อืม! ช่วงนี้เรื่องของแคว้นซีอวิ๋นค่อนข้างเยอะ”
“โอ้! ”
น้ำเสียงของซูจิ่นซีฟังแล้วไม่มีอันใดผิดปกติ หลังจากนั้น นางจึงเอียงศีรษะเหลือบมองเอกสารในมือของเยี่ยโยวเหยา
แต่ไม่คิดว่าจะเห็นคำว่า ‘ซ่างกวานลั่วอวิ๋น’ สีหน้าที่พยายามข่มไว้ พลันขมวดคิ้วอีกครั้ง
ทว่าซูจิ่นซีพยายามอดกลั้นเปลวเพลิงในใจไม่ให้มันปะทุออกมา
“ท่านอ๋อง ดูอันใดอยู่หรือ? ท่าทางจริงจัง เกิดอันใดขึ้นกับแคว้นซีอวิ๋น? ฮูหยินปิงจีให้คนส่งมาหรือ? ”
“อืม! ”
“ฮูหยินปิงจีว่าอย่างไร? จะให้ท่านอ๋องสมรสกับแม่นางลั่วอวิ๋นอีกครั้งหรือ?”