สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 31 ตอนที่ 901 เขาเห็นอันใด
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่รีบร้อนให้ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นตอบ เขาลูบไหล่ของซูจิ่นซีแผ่วเบา
“เมื่อคืนหลับสบายดีหรือไม่! ”
“หลับสบายเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยานั่งลงบนม้านั่งหินด้านข้างซูจิ่นซี และเอ่ยถามอีกครั้ง “กำลังคุยเรื่องอันใด? การสนทนาตอนเช้าครึกครื้นถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
ซูจิ่นซีเอ่ยขึ้น “อวิ๋นจิ่นบอกว่าช่วงนี้สีหน้าของข้าไม่สู้ดีนัก จึงขอตรวจชีพจร ทว่าเป็นเพียงเลือดลมไม่สมดุลเท่านั้น และเขายังเตือนข้าว่ากินนู่นก็ไม่ดี กินนี่ก็ไม่ได้ ดูแล้วหมอหลวงอวิ๋นอาจกังวลเกินไป”
ซูจิ่นซีพูดโดยไม่ได้คิดอันใดมาก ทว่ามือของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังจะยื่นไปคว้าถ้วยชาพลันชะงักงัน เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและกวาดสายตาไปมองใบหน้าของอวิ๋นจิ่น
“โอ้? จริงหรือ? อธิบายสิว่าสิ่งใดกินไม่ได้หรือต้องหลีกเลี่ยง? ”
อวิ๋นจิ่นย้ำสิ่งที่เขาเพิ่งพูดกับซูจิ่นซีไปเมื่อครู่อีกครั้ง “ไม่อาจทานของสด ของเย็น งดคาวจัด และเผ็ดจัด ไม่อาจทานของแสลง ไม่อาจทานผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นอย่างแตงโม และกล้วย… ”
“ยังมีอีกหรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยามีสีหน้าปกติ จากใบหน้าของเขา ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าในใจของเขากำลังคิดอันใดอยู่
อวิ๋นจิ่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รอยยิ้มที่มีให้เพียงซูจิ่นซีค่อยๆ จางหายไป เขาลุกขึ้นและเดินไปข้างกายเยี่ยโยวเหยา
ก่อนจะโน้มตัวลงกระซิบข้างใบหูของเยี่ยโยวเหยา “ยังมี… ชาเข้มข้นและโจ๊กลูกเดือยก็ทานไม่ได้ โดยเฉพาะ… ไม่อาจทำกิจกรรมบนเตียงได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
มือของเยี่ยโยวเหยาที่อยู่ข้างลำตัวสั่นเทาเล็กน้อย เขาเงยหน้าสบตาของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นสบสายตาโดยไม่มีท่าทีอ่อนข้อ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาจึงพูดขึ้น “เรื่องจริงหรือ? ”
อวิ๋นจิ่นลุกขึ้น ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ตำแหน่งของตนเองอย่างนุ่มนวลและสุภาพตามปกติ
“สิ่งที่กระหม่อมทูลทุกคำพูดย่อมเป็นความจริง”
ในเหตุการณ์มีอยู่กันสามคน ทว่ามีอวิ๋นจิ่นเพียงผู้เดียวที่เห็นว่ามือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังสั่นเทาเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น
บนโลกใบนี้ นอกจากซูจิ่นซี ผู้ใดเล่าสามารถทำให้เยี่ยโยวเหยามีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ได้?
ซูจิ่นซีมองการกระทำระหว่างเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นด้วยความสับสน
“เมื่อครู่ พวกท่านสองคนซุบซิบเรื่องอันใดกัน? อยู่กันเพียงสามคนก็ยังจะพูดลับหลังข้าอีก… มากเกินไปแล้วจริงๆ ! ”
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อธิบาย
อวิ๋นจิ่นพูดด้วยท่าทางอ่อนโยน “พระชายา กระหม่อมและโยวอ๋องกำลังพูดถึงพระอาการประชวรของพระองค์ รวมถึงสิ่งที่ต้องให้ความสนใจ แท้จริงแล้วไม่มีอันใดมาก สามารถบอกพระองค์ได้ เมื่อครู่กระหม่อมก็ได้พูดไปหมดแล้ว”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ทว่าไม่ได้คิดให้มากความ
หลังจากนั้น เสียงของอู๋จุนและเสียง ‘ตึก ตึก’ ก็ดังมาแต่ไกล
ทั้งสามคนมองไปยังทิศทางของเสียง พวกเขาเห็นอู๋จุนและองครักษ์ที่เป็นลูกน้องของเยี่ยโยวเหยากำลังเดินมาทางนี้พร้อมอูฐสิบตัว
ถังเสวี่ยและตงหลิงหวงเพิ่งออกมาจากโรงเตี๊ยมพอดี
เมื่อถังเสวี่ยเห็นอูฐเหล่านั้น นางจึงรีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
“ว้าว พี่เป่าอวี้ มิน่าเล่า ท่านหายหน้าไปตั้งแต่เช้าตรู่ ที่แท้ท่านก็ไปหาอูฐมานี่เอง! พวกท่านหามาทั้งหมดเลยหรือ? พวกท่านไปหามาจากที่ใด? ดูดีเสียจริง! ”
นางพูดพลางวิ่งไปที่อูฐตัวเล็กโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัว และใช้มือลูบขนอูฐไปมา
อู๋จุนไม่สนใจถังเสวี่ย เขาเดินตรงไปหาซูจิ่นซีราวกับเมฆสีแดง
“แม่นางพิษน้อย เป็นอย่างไรบ้าง? อูฐพวกนี้ พี่จุนเป็นคนไปซื้อที่ตลาดใกล้เมืองมาเองทั้งหมด อูฐแต่ละตัว พี่จุนเป็นคนเลือกเองกับมือ
ในทะเลทรายใช้รถม้าและม้าไม่สะดวกนัก ใช้อูฐจะทนทานที่สุด เช้าวันพรุ่งนี้ พวกเราจะขี่อูฐพวกนี้เข้าไปในทะเลทราย เจ้าเลือกก่อนเลยว่าชอบตัวไหน! ”
ชีวิตนี้ พูดได้เลยว่าซูจิ่นซีไม่เคยขี่อูฐมาก่อน และยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็น นางรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก นางกำลังจะก้าวไปเลือกตามที่อู๋จุนบอก ทว่ากลับถูกเยี่ยโยวเหยาห้ามไว้
เยี่ยโยวเหยาดึงแขนซูจิ่นซีมาอยู่ข้างกายตนเอง
“นางไม่ขี่อูฐ”
อู๋จุนมองใบหน้าหยิ่งยโสของเยี่ยโยวเหยาและหัวเราะเสียงเบา “ไม่ขี่อูฐแล้วจะขี่อันใด? ขี่ม้าหรือ? เยี่ยโยวเหยา เจ้ามีสามัญสำนึกหน่อยได้หรือไม่? อูฐถูกขนานนามว่าเป็นเรือแห่งทะเลทราย มันสามารถอยู่ในทะเลทรายโดยไม่ดื่มน้ำเป็นเวลานาน ปรับตัวเข้ากับความแห้งแล้ง นอกจากนั้นยังใช้นำทางได้อีกด้วย ทว่าม้านั่นหรือ? ม้าเก่งกาจเท่าอูฐหรือ?
เจ้าอยากตายก็อย่าลากแม่นางพิษน้อยตายไปด้วย! ”
อู๋จุนคิดเพียงว่าเยี่ยโยวเหยาไม่ยอมใช้อูฐที่เขาหามา ทว่าปากก็พูดไปอย่างนั้น ขอเพียงซูจิ่นซีกับอวิ๋นจิ่นพูดสักสองสามประโยคก็สามารถประนีประนอมกันได้แล้ว
กลับไม่คาดคิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะดึงซูจิ่นซีเดินออกไป
ก่อนไปยังพูดแผ่วเบาหนึ่งประโยค “นางนั่งรถม้า ต่อให้ตายก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเจ้ากระมัง? ”
อู๋จุนมองตามด้านหลังของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่เดินจากไป และเตะขาโต๊ะหินด้านข้างอย่างจัง
“บัดซบ มารดามันเถิด! เยี่ยโยวเหยา เจ้ามีเหตุผลบ้างหรือไม่? จนป่านนี้แล้วยังดูถูกข้าและแข่งกับข้า ทั้งยังลากแม่นางพิษน้อยไปอีก!!! บัดซบ! บัดซบ! บัดซบ! น่าโมโหนัก! ”
อู๋จุนเข้าไปในเมืองกับพวกองครักษ์ก่อนฟ้าสาง และใช้เวลาสองชั่วยามในการเลือกอูฐพวกนี้ กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ชายตามองเลยด้วยซ้ำ
เขาไม่มองก็ช่างปะไร นึกไม่ถึงว่าจะไม่ให้แม่นางพิษน้อยมองด้วย มันน่าโมโหเสียจริง
เขาเดินวนไปมาด้วยความโกรธ ปากก็กร่นด่าคำหยาบคาย
อวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ เขาเดินไปข้างหน้าและตบบ่าของอู๋จุน
“เจ้าหุบเขาอู๋ ท่านอย่าได้โกรธเลย พระวรกายของพระชายาไม่สู้ดีนัก พระองค์ขี่อูฐไม่ได้จริงๆ ”
“อันใด? แม่นางพิษน้อยป่วยหรือ? ”
“ไม่ หาใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงเลือดลมไม่สมดุล ข้าสั่งยาให้แล้ว ตราบใดที่พระชายาทานยาตรงเวลาก็ไม่เป็นอันใด”
“หมอหลวงอวิ๋น เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่รีบบอกข้า? ”
อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม อู๋จุนก็นับเป็นหมอเช่นกัน! เรื่องแบบนี้ยังต้องให้ผู้อื่นเตือนอีกหรือ?
ทว่าเรื่องนี้ อวิ๋นจิ่นไม่มีทางเปิดปากพูดแน่นอน
เขาจึงพูดเสริมว่า “ข้าน้อยก็เพิ่งทราบเมื่อเช้านี้เช่นกัน”
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูอาการของแม่นางพิษน้อย! ” อู๋จุนพูดพลางยกแขนเสื้อขึ้น ก่อนจะเดินไปยังรถม้าที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่อย่างรวดเร็ว
เดิมที คิ้วที่ขมวดกันเล็กน้อยของอวิ๋นจิ่นยิ่งขมวดแน่นขึ้น เขารีบเข้าไปห้ามอู๋จุน
“เจ้าหุบเขาอู๋ คิดให้ดีก่อน! เรื่องนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง? ”
“เหตุใดจึงไม่เหมาะสม? แม่นางพิษน้อยป่วย ข้าไปดูนาง ถือว่าถูกต้องตามครรลอง”
“ถูกต้อง ท่านไปดูพระอาการของพระองค์ถือว่าถูกต้องตามครรลอง ทว่าข้างกายพระชายายังมีท่านอ๋อง!
นอกจากนั้น ท่านดูเอาเถิด! ”
อวิ๋นจิ่นพูดพลางใช้สายตาส่งสัญญาณให้อู๋จุนมองไปยังรถม้าที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาอยู่
เมื่อครู่ อู๋จุนสนใจเพียงซูจิ่นซี และสนใจเพียงเดินไปข้างหน้า จึงไม่ได้สนใจเลยว่ารถม้ามีบางอย่างผิดปกติ
หลังจากอวิ๋นจิ่นเอ่ยเตือน ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัย เขาจึงเลื่อนสายตาไปยังทิศทางของรถม้า
เพียงแวบเดียว ดวงตาเฉียบแหลมงดงามของอู๋จุนก็ค่อยๆ หรี่ลง
เขา… มองเห็นอันใดกันแน่?