สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 31 ตอนที่ 922 บังเอิญพบใครคนหนึ่ง
อู๋จุนเกือบจะกระโดดขึ้น เขาปัดมือของถังเสวี่ยออกไป “บ้าจริง เจ้าหยิกข้าทำไม? ”
ถังเสวี่ยกัดนิ้วมือ ดวงตาเปล่งประกาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ว้าว ตงหลิงหวงเท่มาก! ”
“หือ หือ หือ… ” สัตว์เทพกิเลนแสดงท่าทางกระตือรือร้น
มันเห็นเพียงร่างของตงหลิงหวงค่อยๆ เหาะขึ้น ไม่รู้ว่านางใช้พลังภายในประเภทใด ร่างกายทั้งหมดมีแสงสีขาวนวลห่อหุ้มไว้ ลำแสงนั้นค่อยๆ ควบแน่นอยู่ระหว่างนิ้วขณะที่นางประสานมือเข้าหากัน
จากนั้น นางก็ซัดลำแสงสีขาวนวลไปทางฝูงงู… ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าลำแสงที่พุ่งออกไปนั้นจะเป็นลูกศรนับหมื่นดอก
เท่มาก!
น่าตื่นตาตื่นใจมากทีเดียว
ไม่ต้องพูดถึงเหล่าองครักษ์วิหารวิญญาณกับถังเสวี่ยเลย แม้แต่อู๋จุนที่เดินทางไปทั่วหล้า พบพานยอดฝีมือมากมายในหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังได้เห็นวิชามามากมาย
ทว่า รัชทายาทตงเฉินผู้นี้… ใช้วิชาของสำนักใดกันแน่? เหตุใดวรยุทธ์ถึงได้รุดหน้ารวดเร็วถึงเพียงนี้?
อีกทั้งกระบวนท่านี้ของนาง ร่ำเรียนมาจากที่ไหนกันแน่?
เมื่อมองทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอในตอนนี้ มีเพียงแม่นางพิษน้อยและเจ้าเยี่ยโยวเหยาเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ถึงขั้นสูงสุด
เขากล้ารับประกันได้เลย ไม่ว่าเยี่ยโยวเหยาหรือแม่นางพิษน้อย ไม่มีทางใช้กระบวนท่านี้ได้อย่างแน่นอน
อีกทั้งกระบี่เหล่านั้น ดูเหมือนจะเป็นวิญญาณกระบี่ นางได้วิญญาณกระบี่เหล่านี้มาจากที่ใดกันแน่?
อู๋จุนครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาอดสังเกตท่าทางของตงหลิงหวงไม่ได้ ในที่สุด สายตาของเขาก็หยุดอยู่ที่แหวนเก้ามังกรตรงนิ้วของตงหลิงหวง
ขณะที่ตงหลิงหวงยังคงใช้พลังเสวียนลี่อย่างต่อเนื่อง แหวนเก้ามังกรเปล่งแสงสีเขียวอ่อนออกมาตลอดเวลา เป็นเพราะแสงอ่อนเกินไปและไม่เด่นสะดุด หากไม่มองให้ละเอียดย่อมไม่มีทางมองเห็นได้เลย
หากเขาคาดเดาไม่ผิด จุดสำคัญอยู่ที่แหวนเก้ามังกรวงนี้แน่
ทันใดนั้น อู๋จุนพลันนึกถึงตำนานที่เล่าขานต่อกันมาในอาณาจักรเทียนเหอเมื่อหลายปีก่อน
ตามตำนานเล่าว่า มีปรมาจารย์ผู้ไร้เทียมทานท่านหนึ่งมาจากอาณาจักรอื่น เขามีนามว่าผู้วิเศษจิ่วเทียน ผู้วิเศษจิ่วเทียนรวบรวมทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้ในชีวิตของเขา เก็บไว้ในแหวนวงหนึ่ง
ต่อมาผู้วิเศษจิ่วเทียนหายสาบสูญ แหวนก็หายสาบสูญตามไปด้วย
บางคนบอกว่ามันอยู่ที่แคว้นเป่ยอี้ที่ลึกลับยากเกินคาดเดา บางคนบอกว่ามันตกไปอยู่ในมือของลูกหลานอาณาจักรต้าฉิน บางคนก็บอกว่าอยู่ที่แคว้นตงเฉิน…
ไม่คาดคิดว่าโชคชะตาฟ้าสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้
ดูเหมือนสวรรค์ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ตงหลิงหวงผู้นี้ก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งเช่นกัน
ตงหลิงหวงยิงธนูออกไปพร้อมกัน เล็งตรงเป้าไปที่หัวงู
ในชั่วพริบตา ฝูงงูดำทะมึนทั้งหมดก็ถูกตัดหัวขาด พวกมันล้มลงกับพื้น เลือดกระจัดกระจาย น่าสะอิดสะเอียนอย่างมาก
ถังเสวี่ยเห็นภาพนี้ก็อดกลั้นไว้ไม่ไหว นางกอดต้นไม้และอาเจียนออกมาอีกครั้ง
แม้แต่อู๋จุนเองก็แทบจะอาเจียนออกมา เขายกมือปิดหน้า และเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
ตงหลิงหวงผนึกพลังปราณเทพเก็บวิญญาณกระบี่ จากนั้นจึงหันหลังกลับ และเหาะไปยืนด้านข้างสัตว์เทพกิเลน
“สัตว์เทพกิเลน ถึงตาเจ้าลงมือแล้ว! ”
สัตว์เทพกิเลนกำลังรออย่างกระตือรือร้น ในที่สุดก็ถึงเวลาที่มันลงมือแล้ว
อย่างไรก็ตาม มันไม่รีบร้อน ทว่าวางมาดเยื้องย่างขึ้นไปกลางอากาศ เมื่อเดินไปข้างหน้าได้สองก้าวก็แสดงท่าทางมีอำนาจ
ไม่นานนัก ดวงตาของมันก็ปรากฏแสงเย็นเยือกวาบผ่าน จากนั้นก็พ่นเปลวเพลิงกิเลนออกมาจากปาก
ในชั่วพริบตา ป่าส่วนใหญ่ถูกเปลวเพลิงเผาผลาญ ซากศพงูที่เปื้อนเลือดถูกฝังอยู่ในเปลวเพลิงเหมันต์สีน้ำเงิน
อู๋จุนอยู่ใกล้สัตว์เทพกิเลนมากที่สุด ขณะที่เปลวเพลิงสีน้ำเงินกำลังลุกโชน เขาจึงอยู่ใกล้เปลวเพลิงมากที่สุด
ลำแสงจากเปลวเพลิงเคลื่อนผ่านคิ้วของเขา เกือบจะไหม้คิ้วของเขาไปแล้วเชียว
“บัดซบ… ”
อู๋จุนสบถเสียงต่ำ และตบหัวของสัตว์เทพกิเลนไปหนึ่งที
“ไม่รู้จักควบคุมเปลวเพลิงเสียบ้าง? ข้าเกือบจะถูกเผาไปด้วย! ”
สัตว์เทพกิเลนแสดงสีหน้าละอายใจ มันม้วนหางหลบอยู่ด้านหลังของตงหลิงหวง
เอ่อ… ขอโทษจริงๆ
ตื่นเต้นเกินไปนิด เปลวเพลิงแรงไปหน่อย
ถังเสวี่ยอาเจียนจนหน้าซีดขาว ทว่าขณะที่นางเห็นท่าทีของอู๋จุน ก็พลันรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“นางเด็กบ้า หัวเราะอันใด เดี๋ยวถีบส่งเจ้ากลับไปหุบเขาร้อยบุปผาเสียเลย! ” อู๋จุนจ้องหน้าถังเสวี่ย
เสียงหัวเราะสะใจของถังเสวี่ยหยุดชะงักอย่างกะทันหัน ทว่าแก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย รอยยิ้มที่ควบคุมไม่ได้ยังคงค้างอยู่บนใบหน้า
เมื่อเห็นอู๋จุนเดินไปไกลแล้ว นางจึงรีบวิ่งตามอู๋จุนและรั้งอู๋จุนไว้
“ข้า ถังเสวี่ย ชาตินี้ไม่มีวันหวนกลับไปยังหุบเขาร้อยบุปผา หากพี่จุนต้องการไปส่ง เช่นนั้นส่งข้าไปที่หุบเขาเทพโอสถเถิด! ”
“ออกไป ออกไป ไปเล่นที่ไหนก็ไป! บ้านตนเองไม่กลับ เจ้าจะไปที่หุบเขาเทพโอสถทำอันใด? ”
แก้มของถังเสวี่ยแดงระเรื่อ แววตาของนางยิ่งเหนียมอายมากขึ้นไปอีก
“เพราะหุบเขาเทพโอสถเป็นบ้านของพี่จุน! บ้านของพี่จุนก็คือบ้านของถังเสวี่ย! ”
“ไป ไป ไป! บ้านของข้ากลายเป็นบ้านของเจ้าตั้งแต่เมื่อใด? ”
ถังเสวี่ยไม่มีท่าทีโกรธเคือง นางเดินตามอู๋จุนอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าคำพูดของอู๋จุนจะรุนแรงเพียงใด นางก็ไม่เคยปล่อยมืออู๋จุนเลย
ไม่นานนัก ไฟป่าก็ลุกโชนมากขึ้นเรื่อยๆ สถานที่แห่งนี้อยู่นานไม่ได้แล้ว สัตว์เทพกิเลนและองครักษ์ออกจากโลกใบเล็กไปพร้อมกับตงหลิงหวง
หลังออกมาจากโลกใบเล็ก ทุกคนก็มาอยู่บริเวณนอกปราสาท
มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ควรจะอยู่ภายในห้องโถงของปราสาทมิใช่หรือ?
ภายในใจของตงหลิงหวงยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปราสาทโบราณแห่งนี้
ขณะที่ตงหลิงหวงหันไปมองที่ปราสาท นางก็เห็นว่าปราสาทค่อยๆ สลายกลายเป็นทรายหายไป
ในเวลาไม่ถึงกาน้ำชาเดือด ปราสาททั้งหลังกลับหายไป เบื้องหน้าคือทะเลทรายไกลสุดสายตา มีเนินทรายสูงต่ำราวกับว่าปราสาทไม่เคยปรากฏมาก่อน
ทุกคนต่างแสดงสีหน้างงงวยและตกใจ พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นเป็นเรื่องจริง ทว่าภาพที่เห็นราวกับเกิดขึ้นจริง
เสียงของถังเสวี่ยดังขึ้นอย่างชัดเจน “พี่เป่าอวี้ เมื่อครู่ข้าเห็นอันใดหรือ? หรือข้าฝันไป”
อู๋จุนก็ตกใจมากเช่นกัน ทว่าความตกใจถูกแทนที่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยและไม่แยแสอย่างรวดเร็ว เขาสะบัดแขนเสื้อและหันหลังเดินจากไป
“ข้าไม่ใช่เจ้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? ”
ถังเสวี่ยหันไปมองตงหลิงหวงอีกครั้งด้วยสีหน้างงงวย
ตงหลิงหวงเดินไปตบไหล่ถังเสวี่ย
พยายามควบคุมความสงสัยเหมือนกับถังเสวี่ย “ไปกันเถิด! ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ กำลังรอพวกเราอยู่! ”
สัตว์เทพกิเลนนำทางกลับไปตามเส้นทางเดิม ทุกคนรีบกลับมารวมตัวกับซูจิ่นซีและคนอื่นๆ
หลังจากฟังถังเสวี่ยอธิบายระหว่างทาง ตงหลิงหวงจึงรู้ได้ว่า ในคืนนั้นเกิดพายุทรายรุนแรง นางกับอู๋จุนถูกพายุทรายพัดหายไป เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็อยู่ที่อื่นแล้ว
ต่อมา พวกเขาพยายามตามหากองขบวนเดินทาง ทว่าหลังจากเดินอยู่ในทะเลทรายเป็นเวลานาน พวกเขาก็หาไม่พบ จึงเข้าไปในปราสาทหลานลั่ว
พวกเขาไม่รู้ว่าเผลอเข้าไปอยู่ในโลกใบเล็กนั้นได้อย่างไร ทว่าพวกเขาจำได้ว่าเมื่อเข้าไปในส่วนของปราสาทที่สูงที่สุด พวกเขาก็เห็นแสงสว่างจ้าจนทำให้พวกเขาลืมตาไม่ขึ้น เมื่อแสงนั้นหายไป พวกเขาก็มาอยู่ในป่าแห่งนั้นแล้ว
หลายคนพูดพลางเดินกลับไป
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าระหว่างทางจะได้พบกับใครบางคน ใครบางคนที่พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะปรากฏตัวในเวลานี้