สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 31 ตอนที่ 927 คุณหนูจิ่ว
แม้จะไม่เข้าใจว่าสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีกำลังสื่อสารเรื่องใด ทว่าพวกมันรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก คงไม่มีอันตรายใดๆ
“ข้าบอกแล้วว่าไม่อันตราย พวกเจ้าไม่ยอมเชื่อ! ”
อู๋จุนพูดและกำลังจะเดินเข้าไปข้างใน ทว่าซูจิ่นซีรีบห้ามอู๋จุน
“ข้าจะไปก่อน! ”
อู๋จุนยกยิ้มมุมปาก “จะอย่างไร พี่จุนก็เป็นชายชาตรี จะปล่อยให้สตรีเป็นผู้นำได้อย่างไร? แม่นางพิษน้อยเชื่อฟัง ตามอยู่ด้านหลังพี่จุน”
หลังจากพูดจบ อู๋จุนก็ชิงเดินไปข้างหน้าก่อนก้าวหนึ่ง จากนั้นถังเสวี่ยก็เดินตามไปอย่างรวดเร็ว
ตงหลิงหวงเดินตามเข้าไปด้วย จากนั้นเยี่ยโยวเหยาจึงจับมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปเช่นกัน
……
ตอนที่ยังไม่ได้เข้าไป ภาพในสมองของทุกคนที่จินตนาการนั้นแตกต่างกัน
ตงหลิงหวง อู๋จุน ถังเสวี่ย และเหล่าองครักษ์เคยไปที่ปราสาทโบราณหลานลั่วก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดว่าสถานที่แห่งนี้ หากไม่ใช่ปราสาทโบราณหลานลั่วที่ลึกลับ ก็คงเป็นโลกใบเล็กภายในรูปปั้น
ซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นคิดว่ามันคงคล้ายกับสามอาณาจักร
……
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดคิดว่ามันจะเป็นภาพเช่นนี้
ท้องฟ้าแจ่มใส พระอาทิตย์ลอยเด่นบนท้องฟ้า
ในเวลานี้ พวกเขาอยู่ด้านนอกหอประตูเมือง ห่างออกไปเป็นถนน บนถนนมีคนเดินไปมาขวักไขว่ รถม้าและม้าวิ่งไปมา บนหอประตูเมืองมีอักษรตัวใหญ่เขียนว่า ‘เมืองเสวียนเฉิง’
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ นอกจากตงหลิงหวงและเยี่ยโยวเหยาแล้ว ไม่มีใครเคยมาแคว้นเป่ยอี้สักครั้ง ทว่าซูจิ่นซี อู๋จุนและคนอื่นๆ รู้ว่าเมืองหลวงแคว้นเป่ยอี้ก็คือเมืองเสวียนเฉิง
หลังจากทุกคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อู๋จุนก็พูดขึ้นว่า “บ้าจริง ตามหามาตั้งนาน พวกเราอยู่ในอาณาเขตแคว้นเป่ยอี้แล้วใช่หรือไม่? ”
ตงหลิงหวงพูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด เมืองหลวงแคว้นเป่ยอี้ ควรจะเป็นเมืองเสวียนเฉิง”
เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไม่พูดอันใด ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในที่สุด อวิ๋นจิ่นก็ให้คำตอบที่แน่นอนกับทุกคน
“ที่นี่ควรจะเป็นแคว้นเป่ยอี้ไม่ผิดแน่”
“สถานที่บ้าแห่งนี้หายากจริงๆ ” อู๋จุนกล่าว
“ในที่สุดก็หาจนพบ ไม่เช่นนั้นข้าไม่รู้ว่าจะเจออันใดในทะเลทรายอีกคืนนี้” ถังเสวี่ยพูดขึ้น
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากัน กลุ่มคนก็หวดแส้ม้ามาจากถนนสายหลักในระยะไกล พวกเขากำลังจะเข้าไปในตัวเมือง
ในกลุ่มนั้น อย่างน้อยก็มีประมาณสี่สิบหรือห้าสิบคน พร้อมด้วยบ่าวรับใช้และองครักษ์ ทันทีที่พวกเขาเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าของต้องสูงศักดิ์ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา
กลุ่มคนนั้นแบ่งเป็นสองกลุ่มประกบหน้าหลัง มีองครักษ์คอยคุ้มกันเกี้ยวที่มีผ้าม่านปิดทั้งสี่ด้าน
แม้เกี้ยวจะเปิดออกทั้งสี่ด้าน ทว่ามีม่านสีขาวหิมะปกคลุมทุกด้าน
โดยทั่วไปแล้ว บุคคลที่ใช้เกี้ยวเช่นนี้ต้องเป็นอิสตรี
ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ เป็นบุคคลที่มีสถานะเช่นกัน? พวกเขาเห็นภาพเช่นนี้บ่อยครั้ง และไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ทว่าขณะที่มีลมพัดผ่าน ผ้าม่านบนเกี้ยวพลันเปิดออก ทุกคนต่างตกตะลึงครู่หนึ่ง
โดยเฉพาะซูจิ่นซีและตงหลิงหวงที่ยืนอยู่ใกล้มากที่สุด
ทั้งสองคนต่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ซูจิ่นซียังถือม้วนภาพไว้ในมือ นางขยับนิ้วมือเล็กน้อย เมื่อนางหรี่ตาเพื่อต้องการมองให้ชัดเจนอีกครั้ง ม่านก็ปิดลง ปกปิดทุกสิ่งที่อยู่ภายใน
เมื่อครู่นางเห็นสิ่งใด?
“คุณหนู! ” ลวี่หลีร้องเรียกซูจิ่นซีด้วยท่าทางลังเล
ไม่ต้องให้นางเปิดปากพูด ซูจิ่นซีก็คาดเดาได้ว่านางต้องการจะพูดสิ่งใด
ซูจิ่นซีไม่สนใจลวี่หลี และหันไปมองตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงพูดกับซูจิ่นซีด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “พระชายาโยวอ๋อง เมื่อครู่เจ้ากับข้าคงมองไม่ผิดกระมัง แม้สตรีที่นั่งอยู่บนเกี้ยวจะสวมผ้าคลุมหน้า ทว่าท่าทางและบุคลิกเหมือนกับสตรีในม้วนรูปภาพนี้อย่างมาก”
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ซูจิ่นซีหันไปมองเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่น รวมถึงอู๋จุนกับถังเสวี่ย สิ่งที่ได้รับคือสายตาที่ยืนยันเหมือนกัน
เหตุใดหลานเยวี่ยหลีถึงอยู่ที่แคว้นเป่ยอี้?
“ตามไป! ” ภายในความคิดของซูจิ่นซีพลันสว่างวาบ
ขบวนรถม้านั้นได้เข้าเมืองเสวียนเฉิงไปแล้ว ดังนั้นซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จึงติดตามเข้าไปในเมืองเสวียนเฉิงเช่นเดียวกัน
อย่างไรเสีย ที่นี่ก็เป็นแคว้นเป่ยอี้ ไม่ว่าพวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่อาจบุ่มบ่ามวิ่งเข้าไปขวางทางขบวนรถม้านั้นได้
ทว่าทันทีที่เข้าใกล้เกี้ยวนั้น องครักษ์ที่คอยคุ้มกันก็หยุดไว้ “หลบไปยืนด้านข้าง ยืนด้านข้าง”
ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ พยายามมองสตรีบนเกี้ยวอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเมื่อครู่ตาฝาดไปหรือไม่? ทว่าผ้าม่านไม่ถูกเปิดออกแม้แต่น้อย ทำให้พวกเขามองไม่เห็นอันใด
จนกระทั่งขบวนรถม้าเข้าสู่ถนนสายย่อยที่มีผู้คนค่อนข้างน้อย องครักษ์แปดคนทั้งซ้ายและขวาที่คอยคุ้มกันทางเข้าถนนสายนั้น กลับไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าไป
ทุกคนทำได้เพียงติดตามมาจนถึงตรงนี้เท่านั้น
อู๋จุนรั้งคนที่เดินผ่านไปมาและถามว่า “เฮ้ น้องชาย ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ผู้ใดอยู่บนเกี้ยวที่จากไปเมื่อครู่นี้หรือ? ”
ชายผู้นั้นมองอู๋จุนขึ้นลง ก่อนจะเหลือบมองไปซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา ตงหลิงหวง อวิ๋นจิ่น ถังเสวี่ย และคนอื่นๆ
“พวกท่านไม่ใช่คนเมืองเสวียนเฉิงหรือ คงมาจากที่อื่นกระมัง? พวกท่านไม่รู้จักองครักษ์และเกี้ยวของจวนอี้อ๋องหรือ? ”
“จวนอี้อ๋อง? ”
“ใช่ ผู้ที่อยู่ภายในเกี้ยวเมื่อครู่ก็คือคุณหนูจิ่วแห่งจวนอี้อ๋อง”
คุณหนูจิ่วแห่งจวนอี้อ๋อง???
แน่นอนว่านี่เป็นอีกข่าวที่น่าตกตะลึงมากสำหรับซูจิ่นซีและคนอื่นๆ
เมื่อคนผู้นั้นเห็นสีหน้าของซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ดูใจดีมีน้ำใจ บุรุษผู้นั้นจึงพูดเตือนด้วยความหวังดีว่า “พวกท่านคงมาทำการค้าที่เมืองเสวียนเฉิงกระมัง ข้าขอแนะนำพวกท่านให้ทำการค้าด้วยความสบายใจ รอจนมีผลกำไรแล้วก็รีบกลับออกไปเถิด เรื่องเกี่ยวกับจวนอี้อ๋องถามให้น้อย ไม่ใช่เรื่องที่พวกท่านจะถามได้”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยไม่รอให้ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ พูดอันใด
อู๋จุนเห็นว่าชายผู้นั้นเดินออกไปไกลแล้ว จึงหันหน้าไปหาเยี่ยโยวเหยา “ข้าบอกแล้ว เยี่ยโยวเหยา หลานเยวี่ยหลีเด็กผู้นั้น ข้าเคยเจอครั้งเดียวตอนที่นางอยู่ในแคว้นจงหนิง ไม่คิดว่านางจะมีเบื้องหลังที่ปกปิดได้ลึกซึ้งถึงเพียงนี้! ”
ถังเสวี่ยกลัวว่าอู๋จุนกับเยี่ยโยวเหยาจะต่อสู้กันเพราะคำพูดไม่เข้าหูอีก นางจึงรีบดึงแขนเสื้อของอู๋จุน และกระซิบว่า “ถังเป่าอวี้ หากไม่ได้พูดออกไปเจ้าจะตายหรือ? ”
อู๋จุนหันหน้าไปทางถังเสวี่ยและถลึงตาใส่ “หลบไป! ข้าอยากจะพูด ต่อให้พูดจนตายก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
ถังเสวี่ยจุกอกจนไม่สามารถตอบโต้อันใดได้อีก
อู๋จุนผิวปากอย่างภาคภูมิใจ
อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาถือว่าอู๋จุนเป็นอากาศธาตุ และไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
ในสายตาของเขามีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียว “เดินทางมาครึ่งค่อนวัน เจ้าและลูกไม่ได้พักผ่อนเลย คงจะเหนื่อยมากแล้ว พวกเราไปหาที่พักกันก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยๆ จัดการ”
“เพคะ! ”
ความจริงแล้ว ขณะที่เข้ามาในเมืองเสวียนเฉิง เยี่ยโยวเหยาได้กำชับให้องครักษ์ไปเตรียมหาสถานที่พักอาศัยเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยโยวเหยาพาทุกคนไปยังร้านอาหารละแวกใกล้เคียง เพื่อรับประทานอาหารก่อน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ องครักษ์ที่ออกไปหาที่พักก็กลับมาพอดี
ต้องบอกว่าคนที่อยู่ภายใต้เยี่ยโยวเหยาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง พวกเขาจัดหาสถานที่พักเรียบร้อย ทั้งยังเป็นเรือนพักที่สะอาดสะอ้านอย่างมาก
ทุกคนรับประทานอาหารเสร็จก็เดินทางมาที่เรือนพัก