สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 32 ตอนที่ 937 รู้จักความเหมาะสม
ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้โต้เถียงกับอู๋จุนและอวิ๋นจิ่น นางถอยตามเยี่ยโยวเหยาไปอีกด้านหนึ่ง
ถังเสวี่ยมาอยู่ด้านข้างซูจิ่นซีอย่างตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และปกป้องอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี
ตงหลิงหวงพยายามตามติดอู๋จุนกับอวิ๋นจิ่นเพื่อคอยช่วยเหลือพวกเขา
เมื่อเห็นอู๋จุน อวิ๋นจิ่น และตงหลิงหวงเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อย กลับไม่คาดคิดว่าพื้นดินจะเกิดการสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ขั้นบันไดที่อยู่ระหว่างพวกเขาทั้งสามกับแท่นจิ่วโยวก็เกิดรอยร้าวกว้างประมาณหนึ่งฉื่อ
เสียงคำรามอันน่าสยดสยองราวกับผีร้ายในนรกดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และดังกึกก้องไปทั่ว
ลูกไฟขนาดใหญ่หลายลูกตกลงมาราวกับมีคนชี้เป้า มันพุ่งไปยังตำแหน่งของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และถังเสวี่ย เยี่ยโยวเหยารีบดึงซูจิ่นซีหลบ ถังเสวี่ยเองก็ไม่อยู่นิ่ง นางกระโดดขึ้นและถือกระบี่ยาว
ขณะที่ร่อนลง สีหน้าของถังเสวี่ยพลันเปลี่ยนไป จากนั้นจึงชี้ไปทางแท่นจิ่วโยว “โยวอ๋อง ซูจิ่นซี พวกเจ้าดูนั่น คือสิ่งใด? ”
ซูจิ่นซีร่อนลงบนพื้นพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา และมองไปตามทางที่ถังเสวี่ยชี้ไป ทันใดนั้น สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป
พวกเขาเห็นเพียงแท่นบูชาด้านบน ซึ่งมีสัตว์ร้ายเก้าตัวที่แกะสลักด้วยหินและทำการปกป้องอยู่รอบๆ แท่นจิ่วโยว เคลื่อนไหวได้จริง เปลือกหินบนร่างของพวกมันปริแตก เผยให้เห็นเลือดเนื้อภายใต้ก้อนหิน
เสียงคำรามประหลาดอันน่าหวาดกลัวก่อนหน้านี้ มาจากหินแกะสลักเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ไม่ได้คาดคิดคือสิ่งที่เรียกว่าสัตว์ร้ายพิทักษ์แท่นจิ่วโยวที่อยู่เบื้องหน้า และการมาของพวกเขาได้ปลุกให้พวกมันตื่นขึ้น
เมื่อซูจิ่นซีกลับมาได้สติ นางก็อดกล่าวเตือนไม่ได้ “อวิ๋นจิ่น อู๋จุน และรัชทายาทตงหลิงหวง พวกเจ้าต้องระวัง! ”
อวิ๋นจิ่น อู๋จุน และตงหลิงหวง ทั้งสามคนกำลังจะเข้าไปใกล้แท่นจิ่วโยว กลับไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงกะทันหัน พื้นใต้เท้ามีรอยแตก จากนั้นก็เห็นสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวมีชีวิต ทั้งสามคนจึงไม่กล้าทำการโดยประมาท
อวิ๋นจิ่นถือกระบี่ยาวในมือ หลังจากต่อต้านลูกไฟที่ตกลงมาแล้ว เขาก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางเรียกกระบี่อีกเล่มออกมาจากแหวนเก้ามังกร รวมกับกระบี่เดิมในมือ
ร่างของอู๋จุนราวกับก้อนเมฆ แส้หงหลิงในมือโบกสะบัดอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงคำรามยาวดั่งเสียงปีศาจโหยหวนกลางอากาศ เมื่อร่อนลงมา เขาหรี่ตามองไปที่แท่นบูชาและเห็นสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น
อู๋จุนลอบสบถออกมา “บัดซบ มีสัตว์ร้ายจริงๆ ! ”
ถังเสวี่ยมาหยุดอยู่ข้างกายของอู๋จุน พร้อมต่อสู้เคียงข้างเขา
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วตลอดเวลา “เยี่ยโยวเหยา สัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวดุร้ายอย่างมาก อาศัยเพียงวรยุทธ์ของพวกเราเพียงไม่กี่คน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะชิงเพลิงอัคคีจิ่วโยวมาได้ในช่วงเวลาอันสั้น หากเวลาล่วงเลยไปมากกว่านี้ จะเป็นจุดสนใจของจวนเป่ยอี้อ๋องอย่างแน่นอน เช่นนั้นพวกเราไปช่วยด้วยอีกแรงเถิด”
ถึงเวลานี้แล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่อาจถอยกลับได้ “ตกลง ทว่าเจ้าต้องตามติดข้าอย่างใกล้ชิด ไม่อนุญาตให้ออกห่างจากข้าแม้แต่ครึ่งก้าว! ”
“เพคะ”
ซูจิ่นซีตอบรับสั้นๆ เยี่ยโยวเหยาจับมือของซูจิ่นซีแน่น สามีและภรรยาต่อสู้เคียงข้างกัน พวกเขากระโดดขึ้นไปหาอู๋จุน อวิ๋นจิ่น และคนอื่นๆ
เมื่ออู๋จุนเห็นร่างของซูจิ่นซี เขาก็พูดเตือนว่า “แม่นางพิษน้อย เหล่าสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวนี้ดุร้ายอย่างมาก เจ้าต้องระวังให้มาก! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ดุร้ายหรือไม่ ลองดูก็รู้ไม่ใช่หรือ? ”
อู๋จุนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขายังไม่เข้าใจคำพูดของซูจิ่นซีว่านางหมายความว่าอันใด ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องดังขึ้น “โฮก… โฮก” “จี๊ด จี๊ด จี๊ด… จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ”
สัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีกระโดดออกมาจากด้านหลังทุกคน จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวด้วยความเกรี้ยวกราด
“โฮก… โฮก… ”
“ทำร้ายเจ้านายของข้า เจ้าสมควรตาย… ”
“จี๊ด จี๊ด จี๊ด… จี๊ด จี๊ด จี๊ด… ”
พวกมันทำเสื้อผ้าของคุณชายแปดเปื้อน ข้าเห็นหมดแล้ว! กล้าแตะต้องคุณชายของข้า พวกเจ้าอยากตายนักใช่หรือไม่…
ทันทีที่สัตว์เทพกิเลนปรากฏตัว มันก็กลายร่างเป็นขนาดใหญ่ ในขณะเดียวกันก็พ่นเปลวเพลิงกิเลนอย่างต่อเนื่องด้วยพลังมหาศาล ไม่มีสิ่งใดเทียบทานได้
สัตว์ร้ายสองตัวที่อยู่ใกล้สัตว์เทพกิเลนมากที่สุด อดแสดงท่าทีขลาดกลัวไม่ได้ ทว่าในไม่ช้า พวกมันก็เปลี่ยนท่าทีเป็นดุร้ายและเข้าต่อสู้กับสัตว์เทพกิเลน
แม้ร่างของจิ้งจอกเก้าสีจะไม่สูงใหญ่และดุร้ายเหมือนสัตว์เทพกิเลน ทว่ายามที่มันโกรธ พลังลี่ชี่รอบตัวของมันก็ไม่ได้ด้อยเหมือนรูปลักษณ์ของมันแม้แต่น้อย มันแยกเขี้ยวและจ้องเขม็งด้วยท่าทางเดือดดาล ขนตามลำตัวตั้งชัน พร้อมต่อสู้กับสัตว์ร้ายทั้งเก้าตัวเคียงข้างสัตว์เทพกิเลน
เดิมทีอู๋จุนหรี่ตามอง จนกระทั่งเบิกตากว้าง
“บัดซบ! ที่แท้สัตว์น้อยสองตัวนี้ก็มาด้วย แม่นางพิษน้อย เจ้าไม่บอกตั้งแต่แรก ให้พี่จุนต้องต่อสู้แทบตาย มีพวกมันทั้งสองจัดการ พวกเราคงไม่เป็นอันใดแล้วกระมัง? ”
“จี๊ด จี๊ด… จี๊ด… ”
เจ้านั่นแหละสัตว์ตัวน้อย!
ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดสิ่งใด จิ้งจอกเก้าสีที่กำลังต่อสู้กับสัตว์ร้ายก็หันศีรษะมาแยกเขี้ยวยิงฟันใส่อู๋จุนด้วยความโกรธ
อู๋จุนอดก้าวถอยหลังไม่ได้ เขาเกือบจะฟาดแส้หงหลิงในมือไปทางจิ้งจอกเก้าสี
“บัดซบ แยกเขี้ยวอันใด? หากยังแยกเขี้ยวใส่ข้าอีก ข้าจะมัดเจ้าให้เป็นอาหารพวกสัตว์ร้าย”
อวิ๋นจิ่นส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าหุบเขาอู๋ นี่มันสถานการณ์คับขัน อย่าก่อเรื่อง ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือ ข้า รัชทายาทตงหลิง ท่านอ๋อง พระชายา และแม่นางถังเสวี่ยจะคอยคุ้มกัน ส่วนเจ้าไปเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยว
จำไว้ว่าต้องเอาเปลวเพลิงสีน้ำเงินด้านบนสุดของเพลิงอัคคี ถึงจะเป็นเพลิงอัคคีจิ่วโยวที่บริสุทธิ์ที่สุดในตำนาน หากเอาเปลวเพลิงส่วนอื่นมาก็ไม่มีประโยชน์”
เขาพูดพลางโยนขวดเคลือบสีน้ำเงินให้อู๋จุน
อู๋จุนหยิบขวดด้วยสีหน้าสงสัย “เจ้าคนแซ่อวิ๋น เจ้าควรทำเรื่องนี้มิใช่หรือ? เจ้าชำนาญด้านนี้ เหตุใดจึงผลักมันให้ข้าเล่า? ”
อวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซี และคนอื่นๆ เผชิญหน้าต่อสู้กับสัตว์ร้ายแล้ว สถานการณ์การต่อสู้ค่อนข้างรุนแรง ทว่าเมื่อสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่าทุกครั้งที่อวิ๋นจิ่นเคลื่อนไหว เขาจะไม่ห่างจากซูจิ่นซีมากนัก สุดท้าย เขาจะไม่มีวันละทิ้งการปกป้องซูจิ่นซี
แม้ซูจิ่นซีจะมีเยี่ยโยวเหยาอยู่ข้างกาย ทว่าไม่ได้ทำให้เยี่ยโยวเหยารู้สึกได้ถึงการกระทำที่เกินเลย
นี่คือการรู้จักรักษาความเหมาะสม
ระหว่างการต่อสู้ อวิ๋นจิ่นก็ตอบคำถามของอู๋จุน
“เพราะวรยุทธ์ของเจ้าหุบเขาอู๋ ไม่สูงส่งเท่าข้า”
“บัดซบ! ” อู๋จุนกร่นด่าอีกครั้ง “แม่นางพิษน้อยและเยี่ยโยวเหยา เจ้าเด็กเมื่อวานซืน รังเกียจข้าก็พอทำเนา ที่แท้อวิ๋นจิ่น เจ้าก็รังเกียจข้าเหมือนกัน นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ! ”
เรื่องล้อเล่นยังเป็นเรื่องล้อเล่น ทว่าในช่วงเวลาสำคัญ อู๋จุนยังแยกแยะความสำคัญได้ เขาถือขวดแก้วเดินเข้าไปใกล้แท่นจิ่วโยวอย่างรวดเร็ว
ทว่าเปลวเพลิงของแท่นจิ่วโยวร้อนมากเกินไป ยิ่งเข้าใกล้ อุณหภูมิโดยรอบยิ่งสูงขึ้น ไม่มีทางเข้าใกล้ได้เลย
อู๋จุนพยายามเข้าไปใกล้หลายครั้ง กลับไม่สามารถเข้าใกล้แท่นจิ่วโยวได้ เสื้อคลุมบนร่างกายติดไฟได้เองแล้ว
เขาลองใช้แส้หงหลิงมัดขวดแก้วเพื่อเก็บเพลิงอัคคีจิ่วโยว ทว่าก่อนที่ขวดแก้วจะเข้าใกล้เพลิงอัคคีจิ่วโยว แส้หงหลิงก็ติดไฟขึ้นเอง จนเกือบทำให้ขวดแก้วหล่นใส่แท่นจิ่วโยว
หลังจากพยายามทำติดต่อกันหลายครั้ง ทว่ายังไม่ประสบผลสำเร็จ อู๋จุนก็พูดเสียงดังว่า “คนแซ่อวิ๋น ข้าไม่สามารถเข้าไปเก็บเพลิงอัคคีจิ่วโยวได้! หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าจะต้องถูกไฟเผาจนสุกแน่”