สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 32 ตอนที่ 938 มีความลับอื่น
อวิ๋นจิ่นยังคงต่อสู้เคียงข้างซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และคนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง เพียงอาศัยจังหวะตะโกนบอก “สัตว์เทพกิเลน… ”
สัตว์เทพกิเลนหลบหลีกหลายครั้ง มันหลีกเลี่ยงสัตว์ร้ายที่กำลังต่อสู้กับตน จากนั้นจึงหันไปพ่นเปลวเพลิงเหมันต์สีฟ้าไปทางแท่นจิ่วโยว
ช่วงเวลาที่เพลิงอัคคีจิ่วโยวปะทะกับเปลวเพลิงกิเลน พลันเกิดเสียงดัง ‘ฟู่วว’ เปลวไฟรุนแรงขึ้นหลายเท่า
ผู้ที่อยู่ใกล้แท่นจิ่วโยวที่สุดคืออู๋จุน หากเขาหนีได้ทัน เสื้อคลุมคงถูกไฟเผาจนหมดเกลี้ยงแน่ เมื่อยืนอย่างมั่นคง เขาก็หันศีรษะไปทางสัตว์เทพกิเลน พลางกัดฟันกรอดพูดว่า “เจ้าคิดจะเผาข้าหรือ? ”
สัตว์เทพกิเลนไม่สนใจอู๋จุน มันยังพ่นเปลวเพลิงกิเลนไปทางแท่นจิ่วโยวเหมือนก่อนหน้านี้ เพลิงทั้งสองปะทะกันจนเกิดเปลวไฟที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนั้น เปลวเพลิงบนแท่นจิ่วโยวมีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้สามถึงสี่เท่า
อู๋จุนพบว่าอุณหภูมิรอบตัวเขาค่อยๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย พยายามเดินเข้าใกล้แท่นจิ่วโยวทีละก้าว… ทีละก้าว… ทีละก้าว… เขาสามารถเข้าใกล้แท่นจิ่วโยวได้อย่างปลอดภัย ทั้งยังสามารถสัมผัสเปลวเพลิงด้วยมือเปล่า ทว่าระหว่างฝ่ามือกับเปลวเพลิงเหมือนมีบางสิ่งขวางกั้นไว้ ฝ่ามือของเขาไม่รู้สึกถึงอุณหภูมิร้อนระอุของเปลวเพลิงแม้แต่น้อย
หรือว่า… ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของสัตว์เทพกิเลน?
อู๋จุนเหลือบมองสัตว์เทพกิเลน สายตาของเขาปะทะกับสายตาของสัตว์เทพกิเลนพอดี
“โฮก… โฮก… ” สัตว์เทพกิเลนเรียกอู๋จุนสองครั้ง พลางแสดงท่าทางภาคภูมิใจ
“บัดซบ… แม้แต่สัตว์ก็ยังแสดงสีหน้าเช่นนี้ โลกใบนี้ยังมีเหตุผลอยู่อีกหรือ? ” อู๋จุนหันไปทางอวิ๋นจิ่น และพูดว่า “ผู้แซ่อวิ๋น เจ้าก็ไม่บอกก่อนว่าสัตว์เทพกิเลนสามารถจัดการกับเพลิงอัคคีจิ่วโยวได้ ทำให้ข้าต้องเกือบถูกไฟเผาหลายครั้ง! ”
อวิ๋นจิ่นยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เจ้าหุบเขาอู๋ อย่างไรก็รีบไปเอาเปลวเพลิงมาเถิด! เหลือเวลาไม่มากแล้ว ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากจวนเป่ยอี้อ๋อง”
อู๋จุนกลับมามีท่าทีจริงจังอีกครั้ง เขาถือขวดแก้วที่อวิ๋นจิ่นมอบให้ไว้ในมือ และหันไปมองเพลิงอัคคีจิ่วโยว
จากนั้นจึงกางแขนออก ร่างของเขาค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น เมื่อถึงความสูงระดับหนึ่งก็ผายฝ่ามือออก ขวดแก้วค่อยๆ ลอยออกจากฝ่ามือ เคลื่อนไปที่ด้านบนของเปลวเพลิง
เปลวเพลิงอัคคีจิ่วโยวค่อยๆ ไหลเข้าไปในขวดแก้วดั่งสายน้ำไหล ในขณะเดียวกัน เปลวเพลิงบนแท่นจิ่วโยวก็ค่อยๆ ลดลง แสงโดยรอบเริ่มจางลง เมื่อเปลวเพลิงสีน้ำเงินที่อยู่เหนือเพลิงอัคคีจิ่วโยวหายไป บริเวณโดยรอบก็มืดมิด หากสังเกตให้ดี จะไม่สามารถเห็นผู้ใดในระยะห้าก้าว
“ได้มาแล้ว ถอยกลับได้! ” อู๋จุนตะโกนเสียงดัง ขณะที่นำขวดกระเบื้องกลับมา ไม่คิดว่า จู่ๆ จะมีลมกระโชกแรงมาจากทางด้านข้าง ขวดแก้วเลื่อนผ่านปลายนิ้วอู๋จุนและลอยหลุดจากมือไป
“ผู้ใด! ”
ร่างสีแดงของอู๋จุนหมุนกลางอากาศและร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง ก่อนจะหรี่ตามองอย่างชัดเจน
“นางตัวแสบ”
ขณะนั้น ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา ตงหลิงหวง อวิ๋นจิ่น และคนอื่นๆ ต่างสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้
ไม่คาดคิดว่า เป่ยถังหลีจะปรากฏตัวในเวลาเช่นนี้
เนื่องจากใบหน้าที่แทบจะเหมือนกันระหว่างเป่ยถังหลีกับหลานเยวี่ยหลี ทำให้ทุกคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“นางตัวแสบ เอาขวดแก้วคืนมาให้ข้า”
อู๋จุนสบถ ขณะที่กำลังรีบพุ่งเข้าไปหาเป่ยถังหลี ทว่าเป่ยถังหลีกลับเดินเข้าไปใกล้เปลวเพลิงบนแท่นจิ่วโยวในระยะห่างเพียงสองก้าว
“อย่าเข้ามา หากพวกเจ้ากล้าเข้ามาอีก ข้าจะโยนเพลิงอัคคีจิ่วโยวลงไป”
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสถานการณ์ด้านล่างแท่นจิ่วโยวเป็นอย่างไร? ทว่าตอนนี้ สำหรับซูจิ่นซีแล้ว เพลิงอัคคีจิ่วโยวมีความสำคัญอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม
อู๋จุนหยุดเดินทันที ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าครู่หนึ่ง ซูจิ่นซี และคนอื่นกำลังจัดการกับสัตว์ร้าย และในขณะเดียวกันก็ให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางนั้น
ซูจิ่นซีและอู๋จุนเคยทดสอบพลังของเป่ยถังหลีมาก่อน แม้ร่างกายของแม่นางผู้นี้จะมีพลังแปลกประหลาด ทว่านางไร้วรยุทธ์ นางสามารถแย่งชิงเพลิงอัคคีจิ่วโยวจากมืออู๋จุนต่อหน้าผู้มีวรยุทธ์สูงส่งได้ ทั้งยังอยู่ในสถานการณ์ที่มีสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีอีกด้วย คิดแล้ว พลังภายในของนางย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ทว่าค่ำคืนดึกดื่นเช่นนี้ นางเป็นแม่นางตัวน้อย มาที่แท่นจิ่วโยวในแดนต้องห้ามเพื่อการใด?
เป่ยถังเย่และคนของจวนเป่ยถังรู้เรื่องนี้หรือไม่?
ในช่วงเวลาอันสั้น ภายในใจของซูจิ่นซีนั้นคิดไปต่างๆ นานา และพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมด จากนั้นจึงฉวยโอกาสเหาะไปลงตรงกลางระหว่างอู๋จุนกับเป่ยถังหลี
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “แม่นางเป่ยถัง เพลิงอัคคีจิ่วโยวนี้มีความสำคัญกับข้าอย่างมาก ขอให้แม่นางช่วยข้าด้วย”
ดวงตาของเป่ยถังหลีเหลือบมองเปลวเพลิงอัคคีที่กำลังลุกโชนบนแท่นจิ่วโยว แววตาของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“พวกเจ้าอย่าได้หวัง ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยวไปได้”
หรือว่า เป่ยถังหลีผู้นี้มาแท่นจิ่วโยวกลางดึก เพื่อมาเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยวเช่นกัน?
ซูจิ่นซีและอู๋จุนต่างนิ่งเงียบ จากนั้น เป่ยถังหลีก็พูดต่อ “พวกเจ้าเป็นผู้ใด? บุกรุกจวนอี้อ๋องของข้าด้วยเหตุอันใด ทั้งยังคิดจะขโมยเพลิงอัคคีจิ่วโยวไปอีกด้วย? ”
ซูจิ่นซีไม่ตอบคำถามของเป่ยถังหลี นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “เหตุใดแม่นางเป่ยถังจึงมาที่นี่ยามดึกดื่น? คาดว่าคนในจวนเป่ยอี้อ๋องคงไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่กระมัง? อีกทั้งหากเป่ยถังเย่รู้เรื่องนี้แล้ว เขาจะทำอย่างไร? ”
ดวงตาของเป่ยถังหลีพลันเปลี่ยนไป สีหน้าของนางเหมือนไม่สบายใจ ทว่าไม่นานก็สงบลง
“ข้าเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา แม้เขาจะรู้ว่าข้ามาที่แท่นจิ่วโยวเป็นการส่วนตัว เขาจะทำอันใดข้าได้? พวกเจ้าคำนึงเรื่องของตนเองเถิด! จวนเป่ยอี้อ๋องของข้า ไม่ใช่ผู้ใดก็สามารถล่วงเกินได้”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างชัดเจน นางมองใบหน้าของเป่ยถังหลีด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอย่างไม่แยแส
“ใช่หรือ… ”
เดิมทีเป่ยถังหลีมั่นใจในตนเองมาก และไม่สนใจท่าทางของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย ทว่าไม่นานนัก นางก็สังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของซูจิ่นซี
น้ำเสียงของซูจิ่นซีเคร่งขรึมเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดต่อว่า “แม่นางเป่ยถัง หากข้าจำไม่ผิด เจ้าไม่มีวรยุทธ์กระมัง! สาเหตุที่เจ้าแย่งเพลิงอัคคีจิ่วโยวจากมือของอู๋จุนไปได้นั้น ทั้งหมดล้วนอาศัยเพียงพลังพิเศษภายในร่างของเจ้า ทว่าพลังภายในพิเศษนี้อยู่ได้ไม่นานนัก? เจ้าจะเอาชนะพวกข้าที่มีหลายคนได้อย่างไร?
หากคืนนี้ข้าสังหารเจ้า แล้วนำศพโยนลงไปในแท่นจิ่วโยว ปล่อยให้เปลวเพลิงที่ไม่ดับมานานนับพันปีของแท่นจิ่วโยวแผดเผาศพของเจ้าจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก
ทั้งยังไม่มีผู้ใดบอกเป่ยถังเย่ เช่นนั้น เขาจะสงสัยพวกข้าได้อย่างไร? ”
สีหน้าของเป่ยถังหลีซีดขาวอย่างเห็นได้ชัด นางเดินโซเซจนขวดแก้วในมือเกือบตกลงไปในแท่นจิ่วโยว ทว่าพลังภายในของแม่นางน้อยยังดีมาก ไม่นานนัก จิตใจก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว นางพยายามสงบสติอารมณ์ของตน พลางเงยหน้ามองซูจิ่นซี
“อยากจะฆ่า พวกเจ้าก็ฆ่าได้เลย! แม้ข้าจะตาย ข้าก็ต้องเอาเพลิงอัคคีจิ่วโยวนี้ใส่ไปในแท่นจิ่วโยวพร้อมกันกับข้า ต่อให้ข้าตาย พวกเจ้าก็ไม่มีวันได้เพลิงอัคคีจิ่วโยวไป”
สีหน้าของซูจิ่นซีไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าภายในใจกำลังครุ่นคิดหาวิธี
ดูเหมือนว่าสาวน้อยผู้นี้จะดื้อดึงนัก ทว่าเหตุใด นางจึงพยายามรักษาเพลิงอัคคีจิ่วโยวนี้ไว้?
นอกจากนั้น ซูจิ่นซียังพบว่า ขณะที่เป่ยถังหลีกำลังสนทนากับพวกเขา สายตาของนางมองลงไปที่แท่นจิ่วโยวเป็นระยะๆ หรือว่ามีความลับอื่นใต้แท่นจิ่วโยว?