สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 33 ตอนที่ 961 ไม่ใช่ภาพมิติมายา เป็นความทรงจำ
ใต้แท่นจิ่วโยวเป็นเหมือนอุโมงค์กาลเวลา หลังเข้าไปแล้วจะเห็นเพียงภาพมิติมายาที่เปลี่ยนแปลงและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา นอกจากนั้นจะไม่เห็นอันใดเลย
เยี่ยโยวเหยาจับมือซูจิ่นซีไม่ยอมปล่อย ขณะที่ทั้งสองเหาะลงมาบนพื้น พวกเขายังจับมือกันแน่น
เมื่อยืนกับพื้นอย่างมั่นคง เยี่ยโยวเหยาก็ถามซูจิ่นซี “เจ้ามีอาการไม่สบายที่ใดหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเล็กน้อย “ท่านอ๋องทรงอย่ากังวล จิ่นซีสบายดี! ”
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีพบว่าบริเวณโดยรอบมีบางอย่างผิดปกติ
พวกเขาอยู่บนถนนสายหนึ่ง รายล้อมไปด้วยฝูงชนที่เดินพลุกพล่าน
ดูจากเสื้อผ้าคนกับอาคารบ้านเรือน คงอยู่แคว้นเป่ยอี้
จากนั้น ซูจิ่นซีก็เห็นถนนสายหนึ่งซึ่งนางคุ้นเคยอย่างมาก
“เอ๊ะ ที่นี่ไม่ใช่ประตูตะวันออกของแคว้นเป่ยอี้หรือ? เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? หรือว่า… พวกเรายังไม่ได้เข้าไปใต้แท่นจิ่วโยว? ”
เยี่ยโยวเหยามองโดยรอบอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายศีรษะช้าๆ “คงไม่ใช่ พวกเราและคนอื่นๆ เข้ามาในแท่นจิ่วโยวพร้อมกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะออกมา เจ้าเห็นหรือไม่ว่าถนนสายนี้เป็นทางเชื่อมยาวนอกประตูตะวันออกของจวนเป่ยอี้อ๋อง ทว่ามีหลายอย่างตรงกันข้ามจากเดิม”
ซูจิ่นซีมองอย่างละเอียดอีกครั้ง เป็นจริงดั่งคาด มันมีสภาพตรงข้ามกัน
ตัวอย่างเช่น สิงโตหินสองตัวที่ประตูตะวันออกของจวนเป่ยอี้อ๋อง เดิมอยู่ทางซ้ายมือและยกเท้าซ้ายขึ้น ด้านขวายกเท้าขวาขึ้น ทว่าตอนนี้กลับหัวกลับหางทั้งหมด
อีกตัวอย่างหนึ่ง โรงน้ำชาบนถนนตรงข้ามประตูจะเปิดออกทางทิศตะวันออก ทว่าตอนนี้เปิดทางทิศตะวันตก อีกทั้งของตกแต่งต่างๆ ภายในก็กลับด้านทั้งหมด
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
“ตรงนี้คงเป็นภาพมิติมายา”
“ภาพมิติมายาหรือ? ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใดสร้างภาพมิติมายาใต้แท่นจิ่วโยว? เป่ยถังหลีบอกว่า คนที่ถูกขังใต้แท่นจิ่วโยวคือคนที่กระทำความผิดต่อแคว้นเป่ยอี้ หรือพวกสัตว์ดุร้ายหลายชนิด? ”
ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิด ทันใดนั้นก็มีเสียงควบม้าสั่นสะเทือนทั้งพื้นดิน
จากนั้น กลุ่มคนและม้าก็ปรากฏพร้อมกับฝุ่นตลบอบอวล
คนที่อยู่ด้านหน้าสุดดูคุ้นตาอย่างมาก คนผู้นั้นใบหน้าเหมือนเป่ยถังหลีมาก ทว่าเมื่อดูจากอายุแล้ว นางคงมีอายุมากกว่าเป่ยถังหลี
คนและม้าหยุดอยู่หน้าประตูตะวันออกของจวนเป่ยอี้อ๋อง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
ประตูจวนเป่ยอี้อ๋องเปิดออก พ่อบ้านวัยสี่สิบปีเศษเดินออกมาพร้อมกับองครักษ์จำนวนหนึ่ง และช่วยทุกคนจูงม้า
“ยินดีกับคุณหนูฉินเกอ ยินดีกับคุณหนูฉินเกอ ในที่สุดท่านก็สามารถเอาชนะเผ่าปีศาจได้”
ทุกคนต่างแสดงความยินดีกับสตรีนางนั้น
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เป่ยถังฉินเกอหรือ? นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
ซูจิ่นซียังไม่ทันทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า เป่ยถังฉินเกอก็กระโดดลงจากหลังม้า และยื่นสายบังเหียนให้พ่อบ้าน
“ขับรถม้าตรงไปที่เรือนของข้า”
ที่แท้ด้านหลังยังมีรถม้าอีกหนึ่งคัน
พ่อบ้านไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเป่ยถังฉินเกอ เขาสั่งให้บ่าวรับใช้เปิดประตูกลางและขับรถม้าเข้าไปในเรือน
จากนั้น เป่ยถังฉินเกอก็เดินเข้าไปในเรือนเช่นกัน
ทว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดคือ หลังเป่ยถังฉินเกอก้าวผ่านประตูไปและหยุดชะงัก ก่อนจะหันกลับมามองทางซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา
เมื่อสบสายตาที่สวยงามเฉียบคมราวกับเหยี่ยว ซูจิ่นซีผู้ไม่หวั่นเกรงฟ้าสวรรค์ ไม่รู้เพราะเหตุใด แผ่นหลังของนางจึงรู้สึกเย็นวูบขึ้นมาทันที
จากนั้น เป่ยถังฉินเกอก็หันหลังกลับ และเดินเข้าไปในจวนเป่ยอี้อ๋อง
สีหน้าของซูจิ่นซีบิดเบี้ยว เยี่ยโยวเหยาดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของซูจิ่นซี เขาโอบไหล่ของซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตน
“อย่ากังวล ข้าอยู่กับเจ้า”
ซูจิ่นซีส่ายศีรษะเชื่องช้า “ข้าไม่ได้กลัว เยี่ยโยวเหยา ท่านเห็นหรือไม่? ดวงตาของเป่ยถังฉินเกอเมื่อครู่ ดูมีบางอย่างผิดปกติ”
“อืม! ” เยี่ยโยวเหยาตอบ
ซูจิ่นซีครุ่นคิดกับตนเอง “ทว่าข้าบอกไม่ได้ว่าผิดปกติที่ใด? ตามเหตุผลแล้ว นางไม่ควรรู้จักพวกเราถึงจะถูก ทว่า… ตอนที่นางมองมาทางพวกเรา ดวงตาของนางเหมือนรู้จักพวกเรา”
เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ตอนนี้พวกเราคงอยู่ในภาพมิติมายาของเป่ยถังฉินเกอ ซึ่งมีเพียงเป่ยถังฉินเกอเท่านั้นที่มองเห็นเรา คนอื่นมองไม่เห็นเจ้ากับข้า และไม่ได้ยินเสียงเจ้ากับข้าอีกด้วย”
ซูจิ่นซีมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หลังจากมองอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นไปหาสตรีนางหนึ่ง
“แม่นาง ข้าขอถามหาใครคนหนึ่งได้หรือไม่?! ”
สตรีนางนั้นไม่เห็นซูจิ่นซีและไม่ได้ยินเสียงของซูจิ่นซีแม้แต่น้อย นางเดินผ่านซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเดินมาหาชายวัยกลางคนอีกครั้ง “คุณลุงท่านนี้ พวกเราขอถามทางได้หรือไม่?! ”
ชายผู้นั้นเป็นเช่นเดียวกัน เขามองไม่เห็นซูจิ่นซีและเดินผ่านไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
จากนั้น ซูจิ่นซีก็ลองถามอีกสองสามคน ทว่าผลลัพธ์เหมือนกัน
เยี่ยโยวเหยาเดินมาด้านข้างซูจิ่นซี และจับมือของนาง
“อย่าพยายามเลย ข้าคาดเดาไม่ผิดแน่ ”
ซูจิ่นซีถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เป็นภาพมิติมายาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำลายภาพมิติมายานี้ได้อย่างไร? ทำลายภาพมิติมายาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุด”
“ในเมื่อเป็นภาพมิติมายาของเป่ยถังฉินเกอ วิธีการทำลายควรเกี่ยวข้องกับเป่ยถังฉินเกอแน่ ไม่ต้องกังวล มีข้าอยู่”
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกถึงอันใดบางอย่าง นางมองไปรอบๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และอู๋จุนอยู่ที่ใดแล้ว? ”
“ข้าไม่เห็นพวกเขาตั้งแต่เข้ามาในภาพมิติมายานี้แล้ว พวกเขาไม่ได้เข้ามาในภาพมิติมายาแห่งนี้เหมือนกับเราสองคน พวกเขาคงเข้าไปในภาพมิติมายาอื่น”
“ใต้แท่นจิ่วโยวยังมีภาพมิติมายาอื่นอีกหรือ? ”
“พูดยาก อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่นเลย ทำลายภาพมิติมายานี้ก่อน จะต้องพบพวกเขาอีกครั้งแน่ พวกเราไปหาเป่ยถังฉินเกอกันก่อนเถิด”
“เพคะ! ”
จากนั้น เยี่ยโยวเหยาก็จูงมือซูจิ่นซีเดินเข้าไปภายในจวนเป่ยอี้อ๋อง ภายในจวนได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ทว่าไม่มีผู้ใดเห็นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ภาพทั้งหมดภายในจวนเหมือนกับภาพด้านนอกจวน ทั้งหมดกลับด้านกับความเป็นจริง
ถึงกระนั้น ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาก็พบที่พักของเป่ยถังฉินเกออย่างรวดเร็ว โดยดูจากจวนเป่ยอี้อ๋องในสภาพความเป็นจริง
สถานที่ที่เป่ยถังฉินเกออาศัย อยู่ในเรือนเดียวกับเป่ยถังหลี ทว่าเรือนนี้ได้ขยายขึ้นในภายหลัง เรือนจึงมีขนาดเล็กกว่าของเป่ยถังหลี
องครักษ์ภายในเรือนทั้งหมดยืนอยู่หน้าเรือน และยืนห่างกันอย่างเป็นระเบียบด้านนอกเรือน บ่าวรับใช้ในเรือนทุกคนต่างอยู่ภายในเรือน
“อ้าก… ”
ทันทีที่ซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาเข้ามาด้านใน เสียงบุรุษผู้หนึ่งก็ร้องด้วยความเจ็บปวดจากภายในห้อง
เมื่อซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้ยินเสียงนั้น พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหลานเสวียนหมิง
“ข้าจำได้ว่าเป่ยถังหลีเคยบอกว่า ตอนที่เป่ยถังฉินเกอพบกับหลานเสวียนหมิง คือตอนที่เขาช่วยหลานเสวียนหมิงจากสนามรบ หลังจากที่เป่ยถังฉินเกอกำจัดเผ่าปีศาจได้”
หรือว่ามิติที่พวกเขาเข้ามาไม่ใช่ภาพมิติมายาของเป่ยถังฉินเกอ ทว่าเป็นความทรงจำของเป่ยถังฉินเกอ?
กรณีนี้ หากคิดจะออกไปยิ่งยากขึ้นไปอีก