สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 33 ตอนที่ 971 พญายมพอรับมือไหว พวกผีน้อยยากรับมือ
ทันใดนั้น งูสีดำตัวที่เลื้อยอยู่ด้านหน้าสุดก็ดีดตัวพุ่งโจมตีซูจิ่นซี
แม้นางไม่สามารถจัดการงูดำได้ในตอนนี้ ทว่าซูจิ่นซียังเป็นคนที่มีระดับความว่องไวสูงมาก นางเบี่ยงตัวหลบงูดำตัวนั้นไปด้านข้าง
กลับไม่คิดว่าปฏิกิริยาของเจ้างูดำตัวนั้นก็ไม่เลว มันพลิกตัวกลางอากาศ และหันหัวมาโจมตีซูจิ่นซีและคนอื่นๆ อีกครั้ง
ภายใต้สถานการณ์คับขัน เยี่ยโยวเหยาจำเป็นต้องใช้กระบี่เสวียนหยวน ฟันงูดำตัวนั้นขาดเป็นสองท่อน
ซากงูตกลงบนพื้น ไม่นานนัก หางและหัวของงูก็งอกขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นงูดำสองตัว
เลือดที่ตกลงบนพื้นทวีคูณอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา งูดำก็เพิ่มจำนวนมากกว่าสิบตัว
“ฟ่อ… ”
งูสีดำที่เป็นจ่าฝูงร้องเสียงดังฟ่อ จากนั้น งูสีดำทั้งหมดก็เริ่มโจมตีซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และเป่ยถังฉินเกอราวกับว่าพวกเขาได้รับสัญญาณคำสั่งบางอย่าง
หากไม่มีมาตรการรับมือที่ดีกว่านี้ เยี่ยโยวเหยาทำได้เพียงใช้กระบี่เสวียนหยวนเพื่อจัดการพวกมัน ทว่ายิ่งเขาฟันมากเท่าไร งูสีดำก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
ซูจิ่นซีใช้พิษ ทว่าไม่ได้ผลอันใดแม้แต่น้อย
ภายใต้สถานการณ์คับขัน ซูจิ่นซีเหลือบมองไปที่งูน้ำในห้องโถง ซึ่งกำลังโจมตีอวิ๋นจิ่นและคนอื่นๆ เห็นได้ชัดว่างูน้ำในเวลานี้เสียเปรียบ หากพวกเขายืนหยัดต่อสู้ต่อไป อวิ๋นจิ่น อู๋จุน และตงหลิงหวงย่อมมีโอกาสชนะ
ช่างเป็นเหมือนที่กล่าวกันว่า พญายมพอรับมือไหว พวกผีน้อยยากรับมือจริงๆ
ขณะใช้ความคิด บางอย่างก็แวบเข้ามาในสมอง ซูจิ่นซีเหมือนจะคิดอันใดบางอย่างได้ ดวงตาของนางเป็นประกาย จากนั้นจึงเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อของตนเอง และหยิบกระดิ่งห้วนโซ้วออกมา
เป่ยถังฉินเกอเห็นกระดิ่งห้วนโซ้ว ดวงตาของนางเปล่งประกายทันที
“ของสิ่งนี้ หลีเอ๋อร์ให้พวกเจ้ามาหรือ? ”
“ใช่! ”
“ยอดไปเลย มีกระดิ่งห้วนโซ้วอยู่ในมือ รับมือสัตว์พวกนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน”
จากนั้นซูจิ่นซีก็ค่อยๆ เขย่ากระดิ่งห้วนโซ้วในมือ
เมื่อซูจิ่นซีสั่นข้อมือ กระดิ่งห้วนโซ้วก็ส่งเสียงแหลมคมชัดออกมา
แม้เสียงจะมีจังหวะบางเบาและไพเราะมาก ทว่ากลับมีพลังเวท งูดำราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู พวกมันหมอบเลื้อยหนีไปด้านหลัง หลังจากนั้นก็มีท่าทางเหมือนเจ็บปวดทุกข์ทรมานและดิ้นอยู่บนพื้น
เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ ซูจิ่นซียิ่งเพิ่มความแรงในการสั่นกระดิ่งห้วนโซ้ว เวลาเพียงครู่เดียว งูดำจำนวนมากไม่สามารถทนต่อพลังเวทของกระดิ่งห้วนโซ้วได้ และสลายร่างกลายเป็นควันดำหายไป
ยิ่งไปกว่านั้น พลังเวทของกระดิ่งห้วนโซ้วดูเหมือนจะมีผลกับงูน้ำเช่นกัน ขณะที่งูน้ำกำลังต่อสู้กับอวิ๋นจิ่นและคนอื่นๆ รูปแบบการต่อสู้ของมันดูสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่งูดำสลายหายไป อวิ๋นจิ่นใช้แส้ปลิดวิญญาณฟาดออกไปมัดงูน้ำและกดลงกับพื้น
ในที่สุดก็แก้ปัญหายุ่งยากได้สำเร็จ
อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และอู๋จุนที่อยู่ในวิหาร มองมาที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาที่อยู่นอกห้องโถง พลางแย้มยิ้มแสดงถึงชัยชนะ ซูจิ่นซีก็ยิ้มตอบพวกเขาเช่นกัน เยี่ยโยวเหยาผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมเย็นชาเสมอมาไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก ทว่าภายในใจกลับมีความสุขและดีใจเหมือนคนอื่นๆ
เยี่ยโยวเหยาตัดหัวงูด้วยกระบี่เสวียนหยวน งูน้ำแม้เป็นสัตว์ประหลาด ทว่าเป็นตัวยาชั้นเลิศเช่นกัน ซูจิ่นซีนำร่างงูน้ำเก็บเข้าไปในระบบถอนพิษ จากนั้นก็ทำให้แห้ง รวบรวมไว้ในคลังสมุนไพรของระบบถอนพิษ
หลังจากซูจิ่นซีจัดการงูน้ำในระบบถอนพิษอย่างเหมาะสมแล้ว นางก็ลืมตาขึ้น “เรียบร้อย รีบออกไปกันเถิด! ”
“ตกลง! ” ทุกคนตอบรับคำ
อู๋จุนเดินนำหน้าเพื่อเปิดทาง ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา อวิ๋นจิ่น และตงหลิงหวงเดินตามอยู่ด้านหลัง
สิ่งที่ไม่มีใครเห็นก็คือ ขณะที่ทุกคนเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ หมอกสีดำลึกลับก็ควบแน่นตรงบริเวณที่ซากงูน้ำนอนอยู่ก่อนหน้านี้ แส้ปลิดวิญญาณในมือของอวิ๋นจิ่นขยับไปมาอย่างผิดปกติ ทันใดนั้น หมอกสีดำลึกลับก็ถูกแส้ปลิดวิญญาณดูดเข้าไป
กว่าอวิ๋นจิ่นจะรู้สึกถึงความแปลกประหลาด มันก็สายไปเสียแล้ว หมอกสีดำลึกลับถูกดูดเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านแส้ปลิดวิญญาณอย่างรวดเร็ว
การจู่โจมอย่างกะทันหันสร้างความเจ็บปวดไปทั้งตัว อวิ๋นจิ่นหยุดเดินกะทันหัน พยายามควบคุมสติ เพื่อไม่ให้ตนเองล้มลงกับพื้น
ตงหลิงหวงซึ่งอยู่ใกล้เขามากที่สุด เป็นคนแรกที่รู้สึกถึงความผิดปกติของเขา
เมื่อหันกลับไปเห็นสีหน้าของเขา นางจึงเดินเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง “หมอหลวงอวิ๋น ท่านเป็นอันใดหรือไม่? ท่านบาดเจ็บที่ใดหรือ? ”
เมื่อซูจิ่นซีและคนอื่นๆ ได้ยินเสียงของตงหลิงหวง พวกเขาก็หยุดเดินและหันกลับมามอง
อวิ๋นจิ่นไม่ต้องการให้ซูจิ่นซีเป็นกังวล เขาจึงพยายามอดทนอย่างเต็มที่เพื่อให้ตนดูเป็นปกติ ทั้งยังใช้พลังภายในทำให้เหงื่อบนหน้าผากแห้ง และปรับสีหน้าให้เป็นปกติอีกด้วย
“อวิ๋นจิ่น เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” ซูจิ่นซีถาม
อวิ๋นจิ่นเงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่สดใสดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิที่มีให้เฉพาะซูจิ่นซีเท่านั้น
“พระชายาไม่ต้องกังวล กระหม่อมไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ เพียงตอนที่กระหม่อมต่อสู้ ทำให้กระทบกระเทือนบาดแผลเก่าบนร่างกาย กลับไปพักสักระยะหนึ่งคงจะดีขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
ทว่าซูจิ่นซียังคงเป็นกังวลเล็กน้อย นางเดินไปหาอวิ๋นจิ่นแล้วพูดว่า “ข้าขอดูอาการเจ้าหน่อย”
อวิ๋นจิ่นยังคงแย้มยิ้มอบอุ่น “พระชายาทรงคิดมาก กระหม่อมไม่เป็นอันใดจริงๆ พวกเรารีบออกไปให้เร็วที่สุด ไม่ควรอยู่ที่นี่นานพ่ะย่ะค่ะ”
ซูจิ่นซีเห็นสีหน้าอวิ๋นจิ่นเป็นปกติ นางคิดว่าเขาไม่เป็นอันใดจริงๆ จึงไม่กังวลมากนัก นอกจากนี้ยังเหมือนกับที่อวิ๋นจิ่นพูด สถานที่แห่งนี้อยู่นานไม่ได้ นางจึงพยักหน้าเห็นด้วย
“ตกลง หากรู้สึกไม่สบายที่ใด ห้ามฝืนเล่า”
อย่างไรเสีย ซูจิ่นซีรู้สึกมั่นใจอย่างมาก ทั้งในแง่ของทักษะทางการแพทย์และวรยุทธ์ของอวิ๋นจิ่น อย่างไรเสีย ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาแสดงต่อหน้าทุกคนในตอนนี้มากนัก
ทุกคนจึงรีบเดินทางออกจากแท่นจิ่วโยว
เพราะเป่ยถังฉินเกอมีสถานะพิเศษ นางจึงไม่อาจกลับไปจวนเป่ยอี้อ๋องในเวลานี้ ซูจิ่นซีและคนอื่นๆ จึงพาเป่ยถังฉินเกอไปที่เรือนเล็กของพวกเขาภายในเมืองเสวียนเฉิงแคว้นเป่ยอี้
ตงหลิงหวงและอู๋จุนไปที่จวนเป่ยอี้อ๋องด้วยตนเอง ประการแรกเพื่อแจ้งข่าวให้เป่ยถังหลี ประการที่สอง เพื่อรับตัวซูอวี้กับถังเสวี่ยออกจากจวนเป่ยอี้อ๋อง
ไม่นานนัก เป่ยถังหลีก็เดินทางมาถึงเรือนเล็ก ตงหลิงหวงและอู๋จุนพาตัวซูอวี้และถังเสวี่ยออกมาจากจวนเป่ยอี้อ๋องเช่นกัน
เมื่อเป่ยถังหลีมาถึงเรือนเล็ก คนแรกที่นางพบคือซูจิ่นซี
“พระชายาโยวอ๋อง มารดาข้าอยู่ที่ใด? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองไปยังห้องด้านหลังนาง “อยู่ด้านใน”
เป่ยถังหลีรีบวิ่งไปที่ห้องด้านในอย่างตื่นเต้น ทว่าเมื่อเดินไปถึงประตู นางกลับหยุดเดิน ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
ทว่าหลังหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ นางก็ยื่นมือผลักประตูเข้าไป
เป่ยถังฉินเกอยืนอยู่ในห้อง นางหันหลังกลับมาอย่างเชื่องช้าด้วยน้ำตานองหน้า
“ท่านแม่… ”
เป่ยถังหลีร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น และรีบวิ่งไปหาเป่ยถังฉินเกอ
“ท่านแม่ ลูกคิดถึงท่านแม่ยิ่งนัก ลูกคิดถึงท่านแม่จริงๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ลูกพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยท่านแม่ขึ้นมาจากใต้แท่นจิ่วโยว ทว่าไม่เคยทำได้สำเร็จเลยสักครั้ง”
“แม่รู้ แม่รู้ทุกอย่าง แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกัน หลีเอ๋อร์”
ภายในห้อง สองแม่ลูกร้องไห้สะอึกสะอื้น บรรยากาศสะเทือนใจอย่างมาก
อู๋จุนเงยหน้าขึ้นพลางผิวปาก ทำทีเหมือนไม่แยแส
ไม่รู้ว่าตงหลิงหวงกำลังคิดสิ่งใด นางหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงัน
ส่วนอวิ๋นจิ่น ไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใดแล้ว