สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 33 ตอนที่ 973 หาที่หลบภัย
บุญคุณความแค้นนับพันปี
อวิ๋นจิ่นก็คือจิ่วหรง และจิ่วหรงก็คืออวิ๋นจิ่น หมอหลวงอวิ๋นปฏิบัติหน้าที่ติดตามอยู่ข้างกายซูจิ่นซีอยู่ในชาติภพนี้
นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจตรงกันโดยปริยายระหว่างบุรุษทั้งสอง
ขณะที่เยี่ยโยวเหยาคว้าข้อมือของอวิ๋นจิ่น เขาก็ได้จับเส้นชีพจรที่ข้อมือของอวิ๋นจิ่น
เพียงครู่เดียว สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาพลันเปลี่ยนไป
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? ”
อวิ๋นจิ่นคลายมือของเยี่ยโยวเหยา และจัดแขนเสื้อของตนเอง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเล็กน้อย
“แต่ละคนล้วนมีโชคชะตาของตนเอง ท่านอ๋องไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก”
ดวงตาดำขลับลึกลับของเยี่ยโยวเหยาหรี่ลงและขมวดคิ้วมุ่น
“ยังมีเวลาอีกนานเท่าใด? ”
“สามารถไปกับนางเพื่อตามหาทองอมฤต แล้วกลับไปที่สำนักแพทย์เทียนอีเพื่อรวบรวมวิญญาณทั้งสามส่วนของนางจนสำเร็จกระมัง? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่นขึ้น เขาเปิดปากพูด ทว่าคำพูดทั้งหมดกลับติดอยู่ในลำคอ ไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้
เขาจึงถามเพียงว่า “เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักแพทย์เทียนอี และเป็นหมอเทวดาเพียงผู้เดียวในใต้หล้า ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือ? ”
“หมอรักษาผู้อื่นได้ ทว่าไม่อาจรักษาตนเองได้”
แม้แต่อวิ๋นจิ่นยังไม่มีวิธี เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วอย่างแน่นอน
เยี่ยโยวเหยานิ่งเงียบ สีหน้าของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นไร้เรี่ยวแรง
ก่อนหน้านี้ แม้เยี่ยโยวเหยาจะต่อต้านจิ่วหรง ทว่านั่นเป็นเพราะไม่ต้องการให้จิ่วหรงใกล้ชิดกับซูจิ่นซี ทว่าตั้งแต่ที่เขาจำเรื่องราวในชาติภพก่อนได้ ตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ในทะเลทรายครั้งล่าสุด จิ่วหรงได้ช่วยชีวิตซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาจึงไม่อาจต่อต้านหรือกีดกันได้อีกต่อไป
อย่างไรเสีย ตลอดเวลาหลายพันปีที่ผ่านมา จิ่วหรงก็ได้ทำเพื่อสตรีผู้นี้มากมาย จิ่วหรงเสียสละไม่น้อยไปกว่าเขา
ยิ่งไปกว่านั้น ในชาติภพนี้ เขาได้ครอบครองซูจิ่นซี ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเขาจะไม่มีสิทธิ์พูดอันใดอีก
ในโลกนี้ มีผู้สูญเสีย ย่อมมีผู้ได้รับ มีผู้ที่อยู่ต่อ ย่อมมีผู้ที่จากไป
สูญเสียและจากไป สุดท้ายก็ไม่ใช่เขา
“ท่านอ๋อง ต้องการดื่มสักจอกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ” จู่ๆ อวิ๋นจิ่นก็ถามขึ้น
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าดื่มได้หรือ? ”
“เพียงสุราสองสามจอก ไม่เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ตกลง ข้าดื่มเป็นเพื่อนเจ้า! ”
จากนั้น อวิ๋นจิ่นก็หาสุรา เขาเดินมาที่เรือนพร้อมกับเยี่ยโยวเหยา ทั้งสองเริ่มดื่มตั้งแต่บ่ายจนถึงค่ำ ยาวไปจนถึงกลางดึก จนกระทั่งไฟของเรือนทุกหลังดับลง เยี่ยโยวเหยายังไม่ได้ออกจากห้องของอวิ๋นจิ่น
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเรื่องที่ทั้งสองคนพูดกันขณะดื่มสุรานั้นเป็นเรื่องใด
……
เป่ยถังหลีและเป่ยถังฉินเกอ สองแม่ลูกได้พบกันอีกครั้ง พวกนางพูดคุยเรื่องราวมากมาย หลังตอนเย็น สองแม่ลูกก็ไปหาซูจิ่นซี
อุปนิสัยของเป่ยถังหลีดุดันก้าวร้าว ทว่าเวลานี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี นางกลับอ่อนโยนและมีมารยาทเป็นพิเศษ
“พระชายาโยวอ๋อง ขอบพระทัยที่ช่วยชีวิตท่านแม่ของข้า ชั่วชีวิตนี้ ต่อให้ข้าต้องเป็นวัวเป็นม้า ข้าก็จะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน”
“พูดอันใดเรื่องเป็นวัวเป็นม้า” ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “การกระทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรามาแคว้นเป่ยอี้ครั้งนี้ ติดหนี้บุญคุณเจ้าไปก็ไม่น้อย”
ซูจิ่นซีพูดพลางมองเป่ยถังฉินเกอ และพูดอีกครั้งว่า “ข้าขอตรวจดูชีพจรของฮูหยินสักหน่อยเถิด! ”
เป่ยถังฉินเกอไม่ปฏิเสธ นางยื่นแขนให้ซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจับข้อมือของเป่ยถังฉินเกอครู่หนึ่งโดยไม่ได้พูดอันใด ขณะที่เป่ยถังหลียังคงขมวดคิ้วดูอย่างตั้งใจ
เมื่อนิ้วของซูจิ่นซีผละออกจากข้อมือของเป่ยถังฉินเกอ นางก็รีบถามทันทีว่า “พระชายาโยวอ๋อง ร่างกายท่านแม่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ซูจิ่นซีเผยให้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า “แม้ฮูหยินจะอยู่ด้านล่างแท่นจิ่วโยวเป็นเวลาหลายปี แต่โชคดีที่ไม่มีปัญหาใหญ่อันใด เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอไปบ้าง” ซูจิ่นซีพูดพลางพลิกฝ่ามือ จากนั้นจึงปรากฏขวดแก้วสีขาวขุ่นอยู่ในมือ นางส่งขวดแก้วให้เป่ยถังฉินเกอ “นี่คือยาเม็ดอวี้ลู่ ใช้สำหรับปรับสภาพร่างกายโดยเฉพาะ ซึ่งเหมาะกับสภาพร่างกายและอาการของฮูหยินในตอนนี้พอดี ฮูหยินรับประทานวันละหนึ่งเม็ด ติดต่อกันครึ่งเดือนก็จะหายดี”
เป่ยถังฉินเกอรับยาเม็ดของซูจิ่นซีมาด้วยความยินดี
เป่ยถังหลียังคงเม้มริมฝีปาก ท่าทางเหมือนมีบางอย่างจะพูดกับซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเหลือบมองมาที่นาง เป่ยถังหลีตัดสินใจหนักแน่น นางคุกเข่าลงกับพื้นดัง ‘ตึก’
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย “สาวน้อย เจ้ากำลังทำอันใด? ”
เป่ยถังหลีพูดว่า “พระชายาโยวอ๋อง ตอนนั้น เนื่องจากท่านแม่ละเมิดกฎของตระกูล จึงถูกจับตัวไปอยู่ในแท่นจิ่วโยว ตอนนี้ออกจากแท่นจิ่วโยวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้นำสกุลเป่ยถัง นี่เป็นความผิดอย่างใหญ่หลวง ไม่ว่าจะพูดอย่างไร พวกเราสองแม่ลูกก็ไม่มีวันกลับไปจวนเป่ยอี้อ๋องได้อีก ทว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ กลับไม่มีที่สำหรับพวกเราสองแม่ลูก ท่านพาพวกเราไปด้วยเถิด! พระชายาโยวอ๋อง หลีเอ๋อร์พอจะมีความสามารถ ขอเพียงท่านยินดีให้พวกเราติดตามไป จะให้หลีเอ๋อร์ทำสิ่งใด หลีเอ๋อร์ยินดีทำทุกอย่าง”
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี “เด็กคนนี้ น่าสนใจจริงๆ ข้างกายของข้ามีองครักษ์และคนรับใช้มากมาย จะมีเรื่องอันใดให้สาวน้อยอย่างเจ้าทำได้อีก? ”
เป่ยถังหลีร้อนใจ ดวงตาของนางแดงก่ำ และมองซูจิ่นซีด้วยสายตาอ้อนวอน “พระชายาโยวอ๋อง… ”
ซูจิ่นซีประคองแขนนางให้ลุกขึ้น “ข้าไม่ได้หมายความว่าจะไม่รับเจ้าไว้ เพียงแต่เจ้าต้องรู้ว่า พวกเรามาที่แคว้นเป่ยอี้คราวนี้ เพื่อตามหาสิ่งของบางอย่าง และระหว่างทางมีอุปสรรคมากมาย หากพวกเจ้าสองแม่ลูกติดตามเรา ไม่เพียงจะไม่ปลอดภัย ยังอาจได้รับความเดือดร้อนอีกด้วย ”
ทันใดนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเป่ยถังหลี “พระชายาโยวอ๋อง พวกเราไม่กลัว ออกจากจวนเป่ยอี้อ๋อง ไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องพวกเราได้ มีท่านและโยวอ๋องเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถปกป้องเราได้”
“สาวน้อยผู้นี้ ปากหวานจริงเชียว”
“พระชายา ทรงรับปากแล้วใช่หรือไม่? ”
“อืม! ” ซูจิ่นซีพยักหน้า
เป่ยถังหลีแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “เยี่ยมไปเลย เยี่ยมไปเลย พระชายาโยวอ๋อง ท่านเป็นคนดียิ่งนัก! ”
ซูจิ่นซีหรี่ตาลงเล็กน้อย “ตอนแรกที่เจ้าเพิ่งรู้จักข้า เจ้าไม่ได้พูดแบบนี้! ”
นางยังจำได้ว่า ครั้งแรกที่พบสาวน้อยผู้นี้ที่สวนหลังจวนเป่ยอี้อ๋อง หญิงสาวผู้นี้อารมณ์ฉุนเฉียว นางถือแส้ด้วยสีหน้าดุดัน อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยซูจิ่นซีไป
เมื่อนึกถึงอดีต เป่ยถังหลีก็ขมวดคิ้ว
“พระชายาโยวอ๋อง ตอนนั้นพวกเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน! ท่านคงไม่ถือโทษถึงเพียงนั้นกระมัง? ”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ” ซูจิ่นซีพูดอย่างจงใจ
“โอ้? พระชายาคิดถือโทษข้าจริงๆ ! ”
ซูจิ่นซีเหยียดนิ้วออกมาเคาะปลายจมูกของเป่ยถังหลี “แน่นอนว่าข้าล้อเจ้าเล่น ข้าไม่ได้คิดถือโทษเจ้าเช่นนั้น”
เป่ยถังหลีแลบลิ้นปลิ้นตา “ข้าก็ว่าอย่างนั้น! ”
ความจริงแล้ว เป่ยถังหลีตั้งใจอยู่ข้างกายซูจิ่นซี ยังมีอีกจุดประสงค์ก็คือ นางจะได้อยู่กับเจ้าทึ่มทุกวัน
แม้นางจะรู้มาบ้างว่า ในใจของเจ้าทึ่มนั้นมีคนที่ชอบอยู่แล้ว นางไม่รู้ว่าอนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ทว่าอย่างน้อยได้อยู่กับเขา นางก็อยากรักษาและหวงแหนทุกช่วงเวลาที่อยู่เคียงข้างเขาไว้ แม้ต่อไปจะแยกทางกัน นางก็ไม่เสียใจ
อย่างไรก็ได้อยู่ด้วยกันในช่วงเวลาหนึ่ง และเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข
จู่ๆ เป่ยถังฉินเกอก็ถามขึ้นว่า “พระชายาโยวอ๋อง เมื่อครู่ ท่านบอกว่า พวกท่านมาแคว้นเป่ยอี้เพื่อตามหาสิ่งของบางอย่าง พวกท่านกำลังตามหาสิ่งใด? ไม่รู้ว่าข้าจะช่วยได้หรือไม่? ”
จิตใจของซูจิ่นซีพลันสว่าง
ใช่ เป่ยถังฉินเกอเคยเป็นเทพธิดาของแคว้นเป่ยอี้ และเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเขาคุนหลุนมากที่สุด บางทีนางอาจรู้ว่าทองอมฤตอยู่ที่ใด!