สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1008 สี่ผู้นำสำนักสาขาอยู่ที่ใด
ทุกคนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อาจประวิงเวลาอยู่ที่นี่นานจนเกินไปได้
ในเมื่อเป็นศพพิษ นอกจากนี้ยังเป็นศพพิษร้ายแรงที่สุดที่แคว้นไหวเจียงพัฒนาออกมาใหม่ล่าสุด เช่นนั้นจึงไม่สามารถใช้วิธีทั่วไปจัดการได้
ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาสบตากัน พวกเขาเห็นความคิดของอีกฝ่ายชัดเจนในสายตา จากนั้นซูจิ่นซีจึงตะโกนเสียงดังว่า “ตงหลิงหวง อู๋จุน พวกท่านออกไปก่อน”
“ได้! ”
“ได้! ”
ทั้งสองตอบรับและถอยไปด้านหลังอีกฝั่ง เยี่ยโยวเหยาก็ถอยไปอีกฝั่งเช่นกัน
ร่างของซูจิ่นซีลอยอยู่กลางอากาศ นางหลับตาลงและทำสมาธิ ครู่ต่อมาก็พลิกฝ่ามือ ดอกบัวห้าสีก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ
“กิเลน… ”
ซูจิ่นซีตะโกนเสียงดัง สัตว์เทพกิเลนที่กำลังจัดการกับเป่ยถังเย่และคนอื่นๆ หันกลับมาพ่นเปลวเพลิงกิเลนเหมันต์สีฟ้าใส่เป่ยถังเฮ่ออย่างรู้งาน ซูจิ่นซีเขวี้ยงดอกบัวห้าสีในมือใส่เปลวเพลิงกิเลนทันที
ดอกบัวห้าสีผสานกับเปลวเพลิงกิเลน พุ่งเข้าใส่เป่ยถังเฮ่ออย่างรวดเร็ว
เป่ยถังเฮ่อที่ตอนแรกไม่ได้สนใจเปลวเพลิงกิเลน ทว่าเมื่อเห็นดอกบัวห้าพลันหน้าถอดสี
ดอกบัวห้าสีนั้น ซูจิ่นซีเก็บมาจากเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลง จากนั้นนางก็ทำการแปรรูปกลายเป็นอาวุธของตนเอง แน่นอนว่าการจะเป็นอาวุธของซูจิ่นซีได้นั้นต้องรวมเข้ากับพิษ
นอกจากนี้ เปลวเพลิงกิเลนของสัตว์เทพกิเลน เดิมเป็นเปลวเพลิงพิษที่มีพิษมากที่สุดในโลก เมื่อสองรวมเป็นหนึ่ง นางไม่เชื่อว่ายังสู้กับศพพิษของแคว้นไหวเจียงไม่ได้
เป็นจริงดั่งคาด เมื่อเปลวเพลิงกิเลนที่ผสานกับดอกบัวห้าสีของซูจิ่นซีโอบล้อมเป่ยถังเฮ่อ ทันใดนั้น เป่ยถังเฮ่อก็ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา แล้วเสียงนั้นก็ค่อยๆ อ่อนลง… อ่อนลงเรื่อยๆ …จนหายไป เมื่อเปลวเพลิงกิเลนดับลง ในที่สุดก็ไม่เห็นร่างของเป่ยถังเฮ่อแล้ว
“แม่นางพิษน้อย ยินดีกับการก้าวหน้าไปอีกขั้นของวิชาพิษ พี่จุนขอคารวะ ขอคารวะ… ” อู๋จุนเข้าไปหาซูจิ่นซีพลางกล่าว
ตงหลิงหวงก็ยกมือคำนับซูจิ่นซีเช่นกัน “ยินดีกับพระชายาโยวอ๋อง! ”
สายตาที่เยี่ยโยวเหยามองซูจิ่นซียังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งและมีความสว่างไสวเป็นพิเศษ เขาชื่นชมซูจิ่นซีมากขึ้นไปอีกอย่างเห็นได้ชัด
ซูจิ่นซีกลั้นยิ้ม “พูดไม่ได้ว่าก้าวหน้า โชคดีที่ข้าได้ครอบครองดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสี”
“แม่นางพิษน้อย เจ้าอย่าได้ถ่อมตน พี่จุนไม่ได้ตาบอดจนมองไม่เข้าใจเสียหน่อย? ”
“พวกเราอย่าได้เสียเวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปเลย ยังไม่มีวี่แววของสี่ผู้นำที่เหลือ พวกเราต้องไปตามหา! ” ซูจิ่นซีกล่าว
“แม่นางพิษน้อย เจ้ากับเยี่ยโยวเหยาไปเถิด! ที่นี่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพี่จุนกับรัชทายาทตงหลิง”
“พวกท่านไหวหรือไม่? ”
“ยังมีสัตว์เทพตัวน้อยสองตัวนั่น! วางใจเถิด ไม่มีปัญหา! ” อู๋จุนเหลือบมองสัตว์เทพกิเลน
แม้สัตว์เทพกิเลนกำลังต่อสู้กับมนุษย์ ทว่าหูยังทำงานได้ไม่เลว มันหันศีรษะและคำรามใส่อู๋จุนอย่างโกรธเกรี้ยว “โฮก… โฮก… ”
เจ้าเรียกผู้ใดสัตว์เทพตัวน้อย? ผู้ใดเป็นสัตว์เทพตัวน้อย?
เจ้าต่างหากสัตว์เทพตัวน้อย!
อู๋จุนกระโดดไปข้างหลังหนึ่งก้าวแล้วเช็ดจมูก
“โอ๊ะโอ ฉุนเฉียวใช่เล่น! ”
“พอแล้ว! ” ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว “จนป่านนี้แล้วยังชอบพูดเล่นกันอยู่อีก! ”
“พระชายาโยวอ๋อง ท่านกับโยวอ๋องไปตามหาสี่ผู้นำก่อนเถิด ที่นี่ส่งต่อให้พวกเราได้เลยไม่มีปัญหา”
“ได้! ”
จากนั้นเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีจึงไปตามหาสี่ผู้นำที่เหลือ ส่วนเป่ยถังเย่และคนอื่นๆ ตรงนี้ก็มอบให้เป็นหน้าที่ของอู๋จุนและตงหลิงหวงสองคน
เมื่อเห็นว่าเป่ยถังเฮ่อถูกซูจิ่นซีและสัตว์เทพกิเลนร่วมมือกันกำจัดจนกลายเป็นผุยผง เจี้ยนอู๋ซินและชิวฉางเซิงก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย แม้กระทั่งองครักษ์ของเป่ยถังเฮ่อและสกุลเป่ยถังก็รู้สึกขลาดกลัวแล้วเช่นกัน
น่าเสียดาย เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาไม่มีทางให้ถอยกลับ ทำได้เพียงเดินหน้าต่อ
“ชู่ว… ”
อู๋จุนเดินไปใกล้พวกเขาและผิวปากยั่วยุ ก่อนจะกระโดดขึ้นแล้วยกแส้หงหลิงในมือฟาดใส่จนหลายคนล้มลงบนพื้น
ตงหลิงหวงก็ไม่น้อยหน้า อาวุธที่นางใช้คือกระบี่คู่ นอกจากนี้ทั้งหมดยังเป็นกระบี่วิญญาณที่เก็บไว้ในแหวนเก้ามังกรซึ่งทรงอานุภาพ เพียงโดนกระบี่วิญญาณฟาดใส่ก็ไม่เหลือรอดสักราย
……
หลังเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีออกมาจากหอฉงชังได้ไม่นานก็พบกับเสวียนเจิ้นจื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง? ช่วยออกมาได้แล้วหรือ? ”
“ช่วยออกมาแล้ว… ” แววตาของเยี่ยโยวเหยาดูหนักใจเล็กน้อย “ทว่า… ”
แม้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้พูดประโยคหลังจนจบ ทว่าเสวียนเจิ้นจื่อยังคงจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีจึงกล่าวด้วยความประหม่าเล็กน้อย “ท่านอาจารย์… ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
……
เยี่ยโยวเหยาไม่พูด เสวียนเจิ้นจื่อก็ยิ่งประหม่ามากขึ้นเรื่อยๆ “ศิษย์พี่ ท่านรีบพูดสิ ท่านอาจารย์เป็นอย่างไรบ้าง? ”
ไม่รอให้เยี่ยโยวเหยาได้พูด เสวียนเจิ้นจื่อก็เตรียมเดินไปทางหอฉงชัง
เยี่ยโยวเหยาคว้าเสวียนเจิ้นจื่อเอาไว้
“ท่านอาจารย์ละสังขารแล้ว! ”
“อันใดนะ? ” เสวียนเจิ้นจื่อตกตะลึง “เป็น… เป็นไปได้อย่างไร? ” เสวียนเจิ้นจื่อพูดจบก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ “ศิษย์พี่ ท่านโกหกข้าใช่หรือไม่? ท่านอาจารย์จะ… ท่านอาจารย์จะ… ”
“บาดแผลเก่าของท่านอาจารย์ยังไม่หายดี ซ้ำยังได้รับบาดเจ็บจากฝีมือคนสกุลเป่ยถัง… ศิษย์น้องอย่าเพิ่งเศร้าใจ… ”
“ไม่… ” เสวียนเจิ้นจื่อเปล่งเสียงคำรามยาว เขาหันหลังกลับและวิ่งไปทางหอฉงชัง
เยี่ยโยวเหยากระโดดขึ้นแล้วขวางหน้าเสวียนเจิ้นจื่อเอาไว้
“ร่างของท่านอาจารย์ ข้าสั่งให้ลูกศิษย์ส่งไปที่ถ้ำเหยียนหัวชั่วคราวแล้ว ตอนนี้เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จัดการปัญหาทั้งภายในภายนอกก่อน เรื่องสำคัญที่สุดคือรอให้สถานการณ์คงที่”
“ทว่าท่านอาจารย์เขา… ” ทุกคำที่ออกมาจากปากเสวียนเจิ้นจื่อล้วนปะทุออกมาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“อย่าทำให้อาจารย์ผิดหวัง! ” เยี่ยโยวเหยาบีบแขนเสวียนเจิ้นจื่อจนข้อนิ้วซีดขาว
เสวียนเจิ้นจื่อเงยหน้าขึ้นช้าๆ นัยน์ตาแดงก่ำสบตากับแววตาดำขลับลึกล้ำของเยี่ยโยวเหยา มุมปากกำลังสั่นเครือ เยี่ยโยวเหยารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเขาตัวสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง
“ได้! ” หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเสวียนเจิ้นจื่อก็ตัดสินใจอย่างยากลำบาก “จัดการปัญหาภายในและปัญหาภายนอกให้สงบก่อน”
“สิ่งที่อันตรายที่สุดตอนนี้คือสี่ผู้นำ เพราะข้าสงสัยว่าสกุลเป่ยถังสมรู้ร่วมคิดกับคนของแคว้นไหวเจียง นอกจากนี้ พวกเขาได้ลักลอบเข้ามาภายในสำนักแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าสี่ผู้นำอยู่ที่ใด? ”
“ตั้งแต่ชิวฉางเซิงกับเจี้ยนอู๋ซินร่วมมือกับคนในสกุลเป่ยถัง ปล่อยให้ศัตรูเข้ามาในสำนัก ข้าก็ไม่เห็นสี่ผู้นำอีกเลย หรือว่า… พวกเขาวางแผนชั่วร้ายเรียบร้อยแล้ว? ”
“เป็นไปไม่ได้! ” เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างหนักแน่น “เจี้ยนอู๋ซินและชิวฉางเซิงสองคนรวมกันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่ผู้นำ พวกเขาไม่ได้รับมือง่ายดายถึงเพียงนั้น”
“ทว่าสมรู้ร่วมคิดกับคนของแคว้นไหวเจียงก็พูดยาก”
วิชาพิษของแคว้นไหวเจียงปรวนแปรคาดเดาไม่ได้ แม้กระทั่งผู้ฉลาดเฉียบแหลมอย่างคนสำนักกระบี่คุนหลุนก็รับประกันได้ยากว่าจะรับมือกับวิธีการชั่วร้ายนี้ได้
เยี่ยโยวเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงถามว่า “เหตุใดอาจารย์ถึงไปที่หอฉงชัง? ”
นักพรตอวี้หยางมีอุปนิสัยเคยชิน ทุกวันหลังยามอู่จะฝึกตนบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ตำหนักของตนเองจนถึงยามเซิน ความเคยชินนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เว้นเสียแต่มีเรื่องสำคัญมาก หรือว่า… มีคนจงใจล่ออาจารย์ออกไป?
ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาพลันสว่างขึ้นมา “ไปตำหนักฉางเซิง! ”