สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1010 การร่วมมือจากสวรรค์สร้าง ดีที่สุด
ในขณะเดียวกัน ทุกคนยังพบว่าแววตาของลูกศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านนอกประตูมีความผิดปกติเล็กน้อยเช่นกัน
เหมือนกับศิษย์ที่ลอบสังหารเยี่ยโยวเหยาซึ่งมีดวงตาเย็นชาที่เปล่งประกายดำเข้ม
“พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นร่างพิษ” ซูจิ่นซีกล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ก่อนหน้านี้ไม่ว่ายามที่ศพพิษหรือร่างพิษปรากฏ ระบบถอนพิษของนางล้วนสามารถตรวจสอบได้ ทว่าครั้งนี้ ระบบถอนพิษกลับไม่สามารถตรวจสอบและแจ้งเตือนได้เลย
อย่างที่รู้ว่า ตอนอยู่ที่เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงระบบถอนพิษของนางได้เพิ่มระดับขั้นสูงขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้ว และสามารถเชื่อมต่อกับอาคมกำไลปี่อั้น ตอนนี้ประสิทธิภาพอยู่ในระดับที่สูงมาก
ทว่าแม้แต่ร่างพิษของแคว้นไหวเจียงยังไม่สามารถตรวจพบ
อาศัยประสบการณ์ของซูจิ่นซี ไม่ว่าหมอพิษของแคว้นไหวเจียงจะเก่งกาจเพียงใด ทว่าในเวลาอันสั้นย่อมไม่อาจพัฒนาวิชาพิษได้รุดหน้าถึงเพียงนี้
หรือว่า… แคว้นไหวเจียงจะมียอดฝีมือขั้นสูง?
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ลูกศิษย์ของผาอวี้จูที่กลายเป็นร่างพิษทั้งหมดก็เข้ามาในตำหนักแล้ว อีกทั้งกำลังโจมตีเยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และเสวียนเจิ้นจื่อ
เสวียนเจิ้นจื่อมีท่าทีตกตะลึง ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“เป็นเช่นนี้… เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ศิษย์น้องเสวียนชิง… ศิษย์น้องเสวียนปิง… ศิษย์น้องเสวียนหมิง… พวกเจ้า… พวกเจ้าเป็นอันใดไป? ข้าคือเสวียนเจิ้นจื่อ พวกเจ้าไม่รู้จักข้าแล้วหรือ? ”
ซูจิ่นซีอธิบายแก่เสวียนเจิ้นจื่ออย่างอดทนอีกครั้ง “ความจริงพวกเขาทั้งหมดเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากเสียชีวิต คนของแคว้นไหวเจียงได้ทำให้กลายเป็นร่างพิษ”
เหมือนกับสถานการณ์ของเป่ยถังเฮ่อ ทว่าความแข็งแกร่งของร่างเดิมของพวกเขามีขีดจำกัด กอปรกับถูกทำให้กลายเป็นร่างพิษได้ไม่นาน เมื่อเทียบกับพลังโจมตีของเป่ยถังเฮ่อ ย่อมห่างชั้นกันเป็นธรรมดา
แม้คนจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่าร่างกายกลับเป็นศิษย์ของผาอวี้จู อย่างไรก็เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักของเยี่ยโยวเหยาและเสวียนเจิ้นจื่อ แม้จะกลายเป็นร่างพิษ ทว่าพวกเขาทนลงมือสังหารคนพวกนี้ไม่ได้
นอกจากนั้น ทั้งสองคนไม่เก่งเรื่องวิชาพิษ ลูกศิษย์ของผาอวี้จูกลายเป็นร่างพิษ หลายครั้งที่ใช้พิษโจมตียังผลให้ทั้งสองคนต้องทนทุกข์ใจอย่างมาก
ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทีร้อนใจ “เยี่ยโยวเหยา เป็นเช่นนี้ต่อไปย่อมไม่ส่งผลดี หากหาตัวผู้นำทั้งสี่หน่วยไม่พบหรือช้าเกินไป พวกเขาจะยิ่งอันตราย คนเหล่านั้นที่อยู่ตรงหน้าท่านเป็นคนที่ตายไปแล้ว เพียงร่างกายของพวกเขาถูกใช้เป็นหุ่นเชิดเท่านั้น ท่านอ๋องต้องอย่าใจอ่อนเด็ดขาด”
ใจอ่อนกับศัตรู เท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาเปล่งประกาย ทว่าคราวนี้เป็นตอนที่ลูกศิษย์ร่างพิษหลายคนโจมตีมาทางเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ยอมอ่อนข้อให้อีกต่อไป จากนั้นจึงฟันกระบี่เสวียนหยวนในมืออย่างต่อเนื่อง
ทว่าร่างพิษเหล่านั้นว่องไวมาก สามารถหลบหลีกไปได้
ความจริงแล้ว ในแผ่นดินนี้ ผู้ที่สามารถหลบหลีกกระบวนท่าของเยี่ยโยวเหยามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
ทว่ายังคงทำร้ายพวกเขาได้
ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และเสวียนเจิ้นจื่อ เห็นชัดว่ากระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยาได้ทำร้ายพวกเขา ทั้งยังทิ้งบาดแผลลึกไว้ที่หน้าอกของร่างพิษ ทว่าในไม่ช้า ทั้งสามต่างมองเห็นบาดแผลนั้นค่อยๆ หายเป็นปกติ
ทั้งสามคนต่างขมวดคิ้วแน่น
จากนั้น ขณะที่ร่างพิษโจมตีกลับมาอีกครั้ง พวกเขาทั้งสามยิ่งต้องรับมือหนักขึ้น
“เยี่ยโยวเหยา ขอยืมใช้วิชายุทธ์จิ่วเซียวของท่านด้วย”
“ได้! ”
ตอนนี้วิชายุทธ์จิ่วเซียวของเยี่ยโยวเหยาฝึกฝนจนถึงขั้นที่แปดแล้ว
ซูจิ่นซีพูดพลางพลิกฝ่ามือ จากนั้นดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือหนึ่งดอก
เยี่ยโยวเหยากระโดดขึ้น ค่อยๆ ถ่ายพลังวิชายุทธ์จิ่วเซียวไว้ในฝ่ามือ จากนั้นจึงผลักออกไปยังร่างพิษอย่างเต็มที่
ในขณะที่เยี่ยโยวเหยาส่งพลังวิชายุทธ์จิ่วเซียว ซูจิ่นซีผลักดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีในมือออกไปพร้อมกัน
ทันใดนั้น พลังวิชายุทธ์จิ่วเซียวกลายเป็นลำแสงห้าสี ล้อมรอบร่างพิษทั้งหมดไว้
ร่างพิษทุรนทุรายและหวาดกลัวอยู่ท่ามกลางลำแสงนั้น พวกเขาไม่สามารถทนรับการรวมพลังของพลังเทพและดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ได้ จึงส่งเสียงกรีดร้องอย่างน่าอนาถ
ก่อนจะค่อยๆ… กลายเป็นผงธุลี สลายหายไป
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ รัศมีของวงแสงกระจายออกไป พลังกระจายไปทั่ว เยี่ยโยวเหยา ซูจิ่นซี และเสวียนเจิ้นจื่อตกใจมาก ทั้งสามถอยกลับไปสองก้าว โชคดีที่พลังยุทธ์ของทั้งสามดีมากจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด
ทว่าสิ่งของที่ประดับอยู่รอบๆ พังทลายลงทันที
เสวียนเจิ้นจื่อตกใจเล็กน้อย เขามองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ศิษย์พี่ ที่แท้… วรยุทธ์ของท่านฝึกมาถึงระดับนี้เชียวหรือ”
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีต่างประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เดิมทีคิดว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีคงมีพลังใกล้เคียงกับเปลวไฟกิเลน ทว่าไม่คาดคิดว่า เมื่อรวมกับวิชายุทธ์จิ่วเซียวของเยี่ยโยวเหยาแล้ว ช่างเป็น ‘การร่วมกันที่สวรรค์สร้าง’ ที่ดีที่สุดในใต้หล้า
เมื่อครู่ เยี่ยโยวเหยาใช้วิชายุทธ์จิ่วเซียวเพียงหกส่วนเท่านั้น พลังแข็งแกร่งน่าทึ่งถึงเพียงนี้ หากใช้วิชายุทธ์จิ่วเซียวทั้งสิบส่วน เกรงว่าแม้ตำหนักฉางเซิงก็อาจพังทลาย
สายตาของเสวียนเจิ้นจื่อมองไปที่ใบหน้าของซูจิ่นซีอีกครั้ง “พลังวรยุทธ์การต่อสู้ของพี่สะใภ้ก็ทรงพลังอย่างมากเช่นกัน”
มีพลังแข็งแกร่งมากจริงๆ ทั้งหมอพิษ วรยุทธ์ ทั่วทั้งใต้หล้ายากจะหาคู่ต่อสู้ได้
อย่างไรก็ตาม เยี่ยโยวเหยาไม่อยากพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม ยิ่งไม่ต้องการให้บุรุษอื่นมาสนใจซูจิ่นซีมากเกินไป
เขาพูดทันทีว่า “ผู้นำทั้งสี่คงยังไม่ออกจากผาอวี้จู พวกเราค้นหาต่อไปเถิด”
“ตกลง! ”
ขณะที่พูด ซูจิ่นซีสังเกตเห็นชั้นวางโบราณที่เพิ่งถูกทำลายด้วยวิชายุทธ์จิ่วเซียวและพลังของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีเมื่อครู่ ปรากฏให้เห็นทางลับออกมา
“เยี่ยโยวเหยา นั่นคือสถานที่อันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาและเสวียนเจิ้นจื่อมองตามทางที่ซูจิ่นซีชี้ไป ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พวกเขาเติบโตมาด้วยกันบนผาอวี้จู รู้จักทุกหนแห่งในผาอวี้จู แม้แต่ห้องลับที่นักพรตอวี้หยางไว้เก็บตัวบำเพ็ญเพียร ปกติไม่เคยบอกศิษย์คนอื่น และมีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้จักสถานที่ทุกแห่งในผาอวี้จู อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับไม่เคยได้ยินนักพรตอวี้หยางพูดถึงทางลับแห่งนี้เลย
เมื่อเสวียนเจิ้นจื่อเดินมาถึงปากทางเข้าเส้นทางลับ เขาพลันรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“ศิษย์พี่ ท่านมาดูทางนี้เร็ว”
เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีรีบเดินไปหา
เพราะว่าไม่ได้ใช้เส้นทางลับนี้มาเป็นเวลานาน ฝุ่นบนพื้นจึงหนามาก ทว่ามีรอยเท้าบนฝุ่นหนามากมาย ทั้งสามคน วิเคราะห์ดูอย่างละเอียด จึงพบว่ามีสี่คู่พอดี รอยเท้าปรากฏจากปากทางลับและลึกเข้าไปในส่วนลึกของเส้นทางลับ
เยี่ยโยวเหยาและเสวียนเจิ้นจื่อสบตากัน ต่างเห็นแสงบางอย่างในดวงตาของกันและกัน ตอนนี้เป็นที่แน่นอนแล้วว่ารอยเท้าใหม่เอี่ยมที่ทิ้งไว้เหล่านี้เป็นของผู้นำทั้งสี่อย่างแน่นอน
“เข้าไปหา! ” เยี่ยโยวเหยาพูดพลางคว้ามือซูจิ่นซีเดินไปในส่วนลึกของเส้นทางลับ เสวียนเจิ้นจื่อรีบตามอยู่ข้างหลัง
แต่ทางลับนั้นมืดและแคบมากเกินไป ทั้งยังไร้แสงสว่างและไม่มีตะเกียงน้ำมันที่สามารถส่องสว่างได้ ซูจิ่นซีทำได้เพียงนำดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ห้าสีออกมา และใช้แสงของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์นำทาง
ขณะที่เดินไปที่แคบ จู่ๆ เสวียนเจิ้นจื่อก็หยิบผ้าสีเขียวผืนหนึ่งมาจากก้อนหินที่นูนออกมา
หลังจากตรวจดูอย่างละเอียด เสวียนเจิ้นจื่อจึงยืนยันว่า “นี่คือเศษผ้าของผู้นำชื่อแห่งผาอวิ๋นเสีย”
ผู้นำชื่อแห่งผาอวิ๋นเสียเป็นสตรี ปกติชอบใช้ดอกไม้ลอยน้ำทำเป็นกลิ่นหอมบนเสื้อผ้าที่สวมใส่ แม้เสื้อผ้าจะซักแล้ว กลิ่นหอมก็ยังคงเหลืออยู่ นี่คือเรื่องที่รู้กันทั้งสำนักกระบี่คุนหลุน ไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
ทว่า…
ต่อมาทั้งสามพบคราบเลือดอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พบเศษผ้า