สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1016 ใจของอวิ๋นจิ่น
ซูจิ่นซีมองตัวยาตั้งต้นที่อ้างถึงในตอนท้ายของเทียบยาอย่างรวดเร็ว คิ้วพลันขมวดแน่น
เลือดของเทพพิษ…
เลือดของเทพพิษเป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดในใต้หล้า ทว่าผู้ใดที่ถูกพิษของเทพพิษ จะต้องใช้เลือดของเทพพิษเป็นตัวยาตั้งต้น
ซูจิ่นซีรู้ดีว่า ต่อให้ตนเองรีบช่วยเยี่ยโยวเหยาถอนพิษ ทว่าไม่อาจรีบร้อนทำได้ในเวลานี้ นางจึงเก็บเทียบยาไว้ จากนั้นก็ไออย่างรุนแรงสองสามครั้ง
“คนจากแคว้นไหวเจียงล่าถอยกลับแล้วหรือ? ถอยอย่างไร? ”
สีหน้าของหลายคนต่างตะลึงเล็กน้อย
คนจากแคว้นไหวเจียงล่าถอยแล้ว ตงหลิงหวงเล่าเรื่องการล่าถอยของทหารแคว้นไหวเจียงให้ซูจิ่นซีฟังอย่างละเอียด
ซูจิ่นซีจึงรู้ว่าเหตุผลที่พวกแคว้นไหวเจียงล่าถอยได้นั้นเกี่ยวข้องกับสำนักแพทย์เทียนอี
“สำนักแพทย์เทียนอี? ”
ท่าทางจริงจังของซูจิ่นซีพลันนิ่งสงบ ทำให้ไม่สามารถคาดเดาได้ว่านางกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่ในขณะนี้
“ใช่! ” ตงหลิงหวงพูด “ครั้งนี้คนของแคว้นไหวเจียงมีมากจริงๆ อีกทั้งทุกคนล้วนเชี่ยวชาญการใช้พิษ หากไม่ใช่คุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีมาได้ทันเวลา เกรงว่าเขาคุนหลุนคงไม่รอดจากภัยพิบัติครั้งนี้อย่างง่ายดายเช่นนี้”
“ใช่หรือ! ”
ซูจิ่นซีพูดเสียงเบาโดยไร้ความรู้สึก จากนั้นจึงเหลือบมองอวิ๋นจิ่นเล็กน้อย
นางพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาอย่างมาก “เช่นนั้นแล้ว คนของสำนักแพทย์เทียนอีอยู่ที่ใด? ”
สีหน้าของอวิ๋นจิ่นเรียบเฉย เขายังไม่ทันเอ่ยปากพูด ตงหลิงหวงก็เริ่มอธิบาย “คนจากสำนักแพทย์เทียนอีโจมตีขับไล่คนของแคว้นไหวเจียงจนล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าครั้งนี้คุณชายจิ่วพาคนมาที่นี่ด้วยตนเอง น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีผู้ใดเห็นคุณชายจิ่วเลยสักคน”
ดวงตาของซูจิ่นซียังคงเหลือบมองอวิ๋นจิ่นตลอดเวลา “โอ้! เช่นนั้นหรือ? กล่าวได้ว่า คุณชายจิ่วนำผู้คนมาจากหุบเขาเทียนอี เดินทางหลายพันลี้มายังเขาคุนหลุนเพื่อช่วยพวกเราแก้ไขสถานการณ์ ทว่าเหตุใดเขาต้องช่วยเราด้วย? ”
ตงหลิงหวงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ทั้งอวิ๋นจิ่นและฮูหยินฉินเกอต่างก็พูดไม่ออก
อู๋จุนขมวดคิ้วและพูดว่า “แม่นางพิษน้อย เจ้าคิดมากมายเพื่ออันใด คนเขาเต็มใจจะช่วยก็ให้พวกเขาช่วยไปเถิด นอกจากนั้น เรื่องราวผ่านไปแล้ว เจ้ายังดิ้นรนอันใดอีก? ”
เมื่อพูดจบก็พูดอีกว่า “แม่นางพิษน้อยเพิ่งฟื้น พวกเราอย่ารบกวนอยู่ที่นี่เลย รัชทายาทตงหลิง ฮูหยินฉินเกอ พวกเราออกไปก่อน ผู้แซ่อวิ๋นตรวจดูอาการแม่นางพิษน้อยอีกครั้ง”
พูดจบก็ลากตงหลิงหวงและฮูหยินฉินเกอออกไปพร้อมกัน
เหลือเพียงซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอยู่ในห้องเพียงสองคนเท่านั้น
อวิ๋นจิ่นก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “พระชายา กระหม่อมขอตรวจดูอาการพระองค์อีกครั้ง”
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใด จากนั้นจึงยื่นมือออกมา
นิ้วของอวิ๋นจิ่นแตะที่ข้อมือของซูจิ่นซี บรรยากาศในห้องเงียบลงอย่างมาก
แสงอาทิตย์อัสดงเฉียงเข้ามาทางหน้าต่าง สาดส่องไปยังร่างของอวิ๋นจิ่นอย่างเงียบงัน ทำให้ยิ่งดูอบอุ่นอ่อนโยนราวกับหยก
ทว่าภายในใจของซูจิ่นซีกลับครุ่นคิดเรื่องราวมากมาย
ก้นบึ้งหัวใจของนางยังคงปรากฏภาพคนในชุดสีขาวราวกับเกล็ดหิมะที่เห็นก่อนหมดสติ
“อวิ๋นจิ่น… ”
“กระหม่อมอยู่ที่นี่! ”
“…”
ซูจิ่นซีไม่พูดสิ่งใดครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นก็ไม่ถามอันใดอีก
เขาตรวจดูชีพจรให้ซูจิ่นซี หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดว่า “เดิมทีพระวรกายของพระชายาก็อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว ทว่าคราวนี้ยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ต้องพักฟื้นและห้ามใช้กำลังภายใน ยังมี… ”
อวิ๋นจิ่นยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกซูจิ่นซีขัดจังหวะ “อวิ๋นจิ่น หากวันหนึ่งเจ้าและข้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน เจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไร? ”
อวิ๋นจิ่นชะงักเล็กน้อย พลางมองไปที่ซูจิ่นซี “เหตุใดพระชายาจึงถามเช่นนี้? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเปล่งประกายด้วยความแข็งกร้าว “ทำได้หรือไม่ได้? ”
อวิ๋นจิ่นเงียบไปครู่หนึ่ง เขาถอยหนึ่งก้าวและกำลังจะตอบคำถามของซูจิ่นซีด้วยความเคารพและสุภาพ
“จิ่นซี… ”
ทันใดนั้น เสียงที่นุ่มนวลอ่อนโยนก็ดังมาจากข้างนอก
หัวใจของซูจิ่นซีถูกกระทบกระเทือนครู่หนึ่ง นางอดมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นไม่ได้…
จงซีจือ…
จงซีจือสบสายตากับซูจิ่นซีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ความรัก… และยังมีหลายความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ชัดเจน
เป็นครั้งแรกที่ซูจิ่นซีถูกจ้องด้วยสายตาเช่นนี้ ความคิดทั้งหมดของนางถูกโยนลงไปในดินแดนที่ห่างไกล และตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากและวุ่นวาย
เห็นได้ชัดว่า ตอนนี้จงซีจือเหมือนจะจำบางอย่างได้แล้ว ทว่าเนื่องจากหมดสติไปเป็นเวลานาน เวลาเดินฝีเท้ายังคงไม่มั่นคงเล็กน้อย
มู่หรงอวิ๋นไห่ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและประคองจงซีจือไว้
หลังจากนั้น ถังเสวี่ย ซูอวี้ มู่หรงฉี และคนอื่นๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของซูจิ่นซี
เดิมทีพวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในแหวนเก้ามังกรของตงหลิงหวง คงเป็นเรื่องที่ จู่ๆ จงซีจือก็จำบางอย่างได้ ตงหลิงหวงจึงปล่อยพวกเขาออกมา
“จิ่นซี… ”
จงซีจือพูดเบาๆ และเดินไปที่ข้างเตียงของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีนั่งบนเตียงด้วยท่าทางสับสนเล็กน้อย
“จิ่นซี เจ้า… เจ้าโตขึ้นมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ” นางพูดพลางค่อยๆ ยกมือลูบไปที่ใบหน้าของซูจิ่นซี
ร่างกายของซูจิ่นซีสั่นเทาเล็กน้อยและหลบไปด้านข้าง…
แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่เล็กน้อยมาก แม้แต่มู่หรงอวิ๋นไห่ซึ่งอยู่ใกล้กับซูจิ่นซีและจงซีจือมากที่สุดก็ไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าตอนนี้จงซีจือมีความรู้สึกละเอียดอ่อน นางจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร?
ทันใดนั้น มือของจงซีจือก็หยุดชะงักกลางอากาศ สีหน้าและอารมณ์ชะงักงัน จากนั้นจึงค่อยๆ เผยความรู้สึกเจ็บปวดและความรู้สึกผิดออกมา
“เป็นข้า… ซูจิ่นซี เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า… ข้าขอโทษ… ข้าขอโทษ… ” จงซีจือพูดพลางโน้มตัวลงร้องไห้อย่างขมขื่นอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซี
ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
ชาติภพนี้ ตอนนางอายุเจ็ดขวบ นางเห็นซูจ้งแทงหน้าอกมารดาของนางจนเสียชีวิตอย่างอนาถกับตาตนเอง นับแต่นั้นมา ภาพที่ลบไม่ออกจากใจของนางนั้น ทำให้นางกลายเป็นคนโง่เสียสติ สติปัญญาเท่ากับเด็กเจ็ดขวบ
แม้ต่อมานางจะทะลุมิติจากโลกอนาคตมายังปัจจุบัน ทำให้นางกลับมามีพัฒนาการทางสติปัญญาเหมือนคนปกติ
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานะของมารดาผู้นี้… เป็นความหวังและความหวาดกลัวที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจของนาง
จงซีจือทรุดตัวอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซีและร้องไห้อย่างขมขื่น “เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า… เป็นความผิดของแม่ เป็นความผิดของแม่ หลายปีที่ผ่านมา แม่ไม่เคยทำหน้าที่มารดาแม้แต่วันเดียว… ”
มู่หรงฉีเดินมาหาอย่างเชื่องช้า เขาต้องการพูดบางอย่างกับซูจิ่นซี ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็เรียกเพียงชื่อ “จิ่นซี… ” และไม่พูดสิ่งใด
จงซีจือยังคงร้องไห้อย่างขมขื่น “ชิงซาน เป็นข้าที่ผิดต่อบุตรสาวของพวกเรา เป็นข้าที่ผิดต่อบุตรสาวของพวกเรา… ”
ขาของซูอวี้ดีขึ้นมากแล้ว เขาค่อยๆ เดินไปข้างหน้าและพูดว่า “ท่านพี่ ฮูหยินเพิ่งฟื้นได้ไม่นาน ร่างกายของนางยังอ่อนแอมาก และไม่ควรร้องไห้เศร้าโศกมากเกินไป”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอื้อมมือไปจับแขนของจงซีจือ “ท่านแม่… ”
ทว่าคำพูดว่า ‘ท่านแม่’ นั้น เหมือนติดอยู่ในลำคอ ทำให้นางดูฝืนธรรมชาติเล็กน้อย และนางไม่เคยได้ยินเสียงพูดของตนเองแบบนี้
อย่างไรก็ตาม เสียงทั้งหมดพลันหยุดลง ยิ่งไปกว่านั้น เสียงร้องของแมลงและนกด้านนอกหน้าต่างก็หยุดลงตามไปด้วย