สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 34 ตอนที่ 1017 เสวียนเจิ้นจื่อหยั่งเชิง
จงซีจือหยุดร้องไห้ทันที ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน นางค่อยๆ เงยหน้ามองซูจิ่นซีอย่างไม่เชื่อสายตา
มู่หรงอวิ๋นไห่รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาแก้ไขคำพูดว่า “เรียกเสด็จแม่สิ! ”
ดวงตาของจงซีจือจ้องใบหน้าของซูจิ่นซีโดยไม่ขยับอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ เรียกท่านแม่! ” ซูจิ่นซีพยายามเรียกอีกครั้ง “ท่านแม่! ”
“ฮือ… ”
จงซีจือร้องไห้ออกมา จากนั้นก็คว้าร่างของซูจิ่นซีมาไว้ในอ้อมกอดของตนเอง น้ำตาไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้
คราวนี้ซูจิ่นซีได้ยินเสียงของตนเองอย่างชัดเจน
“ไม่ใช่ความผิดของท่านแม่ ทว่าเป็นความผิดของลูกเอง เป็นความผิดของลูกที่ไม่เคยแสดงความกตัญญูเลย ท่านแม่ได้รับความทุกข์ยากลำบากในเงื้อมมือของศัตรูมานานหลายปี เป็นความผิดของลูกเอง”
ใบหน้าของจงซีจือเต็มไปด้วยคราบน้ำตา… ริมฝีปากสั่นเทาจนพูดสิ่งใดไม่ออก
ทั้งสองกอดกันเงียบๆ และไม่พูดสิ่งใดเป็นเวลานาน
ทุกคนที่อยู่รอบข้างต่างไม่พูดสิ่งใดเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง จงซีจือเช็ดคราบน้ำตาตนเอง นางปล่อยร่างซูจิ่นซีและสังเกตอาการของนาง
“แม่ได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ซูจิ่นซีเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้า พลางเหลือบมองอวิ๋นจิ่นแล้วพูดว่า “ท่านแม่โปรดวางใจ หมอหลวงอวิ๋นเป็นหมอวิเศษแห่งสำนักหมอหลวงแคว้นจงหนิง เขาเดินทางติดตามมาพร้อมกับข้าและท่านอ๋อง ไม่เคยรักษาผิดพลาด มีเขาอยู่ด้วย อาการบาดเจ็บของลูกต้องหายดีอย่างแน่นอน”
“เช่นนั้นก็ดี! ”
มู่หรงอวิ๋นไห่มองสีหน้าของซูจิ่นซีด้วยความสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะประคองจงซีจือแล้วพูดว่า “สำนักกระบี่คุนหลุนเพิ่งประสบเหตุการณ์ร้ายแรง มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอ ข้าจะพาเจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน”
จงซีจือเช็ดคราบน้ำตา “ตกลง! ”
หลังจงซีจือและมู่หรงอวิ๋นไห่จากไป เนื่องจากอาการบาดเจ็บของซูอวี้และถังเสวี่ยยังไม่หายดีนัก อยู่นานมากไม่ได้ พวกเขาจึงขอตัวกลับไปก่อน
ในที่สุดก็เหลือเพียงซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่น ตงหลิงหวง และมู่หรงฉีเท่านั้นที่อยู่ในห้อง
มู่หรงฉีถามอวิ๋นจิ่นว่า “ท่านอวิ๋น อาการบาดเจ็บของจิ่นซีเป็นอย่างไร? ”
อวิ๋นจิ่นตอบตามปกติ “ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย มีกระหม่อมอยู่ อาการบาดเจ็บของพระชายาจะต้องหายดี ”
ขณะที่พูดก็มีเสียงขอเข้าพบของเสวียนเจิ้นจื่อดังมาจากด้านนอกประตู ซูจิ่นซีจึงให้เขาเข้ามา
เสวียนเจิ้นจื่อถามถึงอาการบาดเจ็บของซูจิ่นซี อวิ๋นจิ่นยังคงตอบตามหน้าที่
หลายคนต่างไม่พูดสิ่งใด ด้านนอกยังมีเสียงของผู้อาวุโสเสวียนชิงแห่งสำนักสาขาเทียนเสวียน และหลิงอวิ๋นผู้นำหอกระบี่ฉางเจี้ยนดังมาจากด้านนอก
ซูจิ่นซีจึงให้พวกเขาเข้ามาด้วย
เมื่อผู้อาวุโสทั้งสองเข้ามาด้านในและเห็นสีหน้าของซูจิ่นซีซีดขาว อาการไม่ได้ดีอย่างที่พวกเขาคิดไว้ ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความเศร้าใจ
ผู้นำสำนักสาขาเทียนเสวียน ผู้อาวุโสเสวียนชิงถอนหายใจยาวและพูดว่า “ตอนนี้สำนักกระบี่คุนหลุนไร้ซึ่งผู้นำ ทั้งยังยุ่งเหยิง พิธีศพของเจ้าสำนักยังไม่ได้จัดขึ้น เจ้ากับโยวเหยายังมาเป็นเช่นนี้อีก… จะทำอย่างไรดี! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างสุภาพ “ผู้อาวุโสเสวียนชิง ในสำนักมีศิษย์น้องเสวียนเจิ้นจื่อดูแลสถานการณ์โดยรวมอยู่มิใช่หรือ? ”
ผู้อาวุโสเสวียนชิงเหลือบมองเสวียนเจิ้นจื่อและถอนหายใจ
“แม้เสวียนเจิ้นจื่อจะสามารถรับผิดชอบงานได้ ทว่าอย่างไรก็ตาม โยวเหยาเป็นผู้ที่ได้รับป้ายคำสั่งเจ้าสำนักจากอดีตเจ้าสำนักที่ละสังขารไปแล้ว”
หลังจากผู้อาวุโสเสวียนชิงกล่าวคำพูดนั้นออกมา ซูจิ่นซีก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่า แววตาของเสวียนเจิ้นจื่อเปล่งประกายอย่างแปลกประหลาด ทว่าเขาปกปิดไว้อย่างดี ไม่ได้เผยออกมาให้ผู้ใดเห็น
และพูดว่า “ใช่แล้ว พี่สะใภ้ ท่านเป็นทั้งหมอยาและปรมาจารย์พิษ เหตุใดท่านและศิษย์พี่ใหญ่จึงได้รับบาดเจ็บ อันที่จริงควรพูดให้พวกเราได้รู้ เพื่อพวกเราจะช่วยกันคิดหาหนทาง”
ซูจิ่นซีถามอย่างประหลาดใจ “โอ้? ในสำนักมีหมอมิใช่หรือ? ไม่มาตรวจดูอาการโยวเหยาบ้าง? ”
เสวียนเจิ้นจื่อตอบตามความจริงว่า “พูดตามความจริงไม่ปิดบัง ตั้งแต่ท่านและศิษย์พี่ถูกผู้อาวุโสส่งออกจากตำหนักฉางเซิง ข้างกายของศิษย์พี่ใหญ่มีองครักษ์คอยติดตามอยู่ตลอดเวลา มีเพียงท่านอวิ๋นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าใกล้ตัวเขาได้ จนถึงวันนี้ พวกเราที่เหลือยังไม่มีโอกาสเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ”
วิธีปฏิบัติเช่นนี้ เป็นวิธีปฏิบัติของขุนพลผีแห่งวิหารวิญญาณ ซูจิ่นซีจึงไม่แปลกใจ นางเพียงไอเบาๆ สองสามครั้ง
จากนั้นก็ถามว่า “ตอนนี้งานในสำนักจัดการอย่างไร? ”
เสวียนเจิ้นจื่อตอบตามความจริง “ร่างของเจ้าสำนักมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งพาออกจากถ้ำเหยียนหัวและวางไว้ในตำหนักฉางเซิง ส่วนเรื่องพิธีศพ แม้จะเตรียมการตามระเบียบของเจ้าสำนักที่ผ่านมาแล้ว ทว่ารายละเอียดว่าจะจัดการอย่างไร ยังต้องรอผู้รับผิดชอบตัดสินใจ ส่วนผู้อาวุโสเจี้ยนอู๋ซินผู้นำหอกระบี่ฉางเจี้ยน และผู้อาวุโสชิวฉางเซิงผู้นำหอพระสูตรเจี๋ยลวี่ ถูกจับกุมในเหตุการณ์ความวุ่นวายวันนั้น และถูกคุมขังอยู่ที่แท่นเฝินซิน แม้ทั้งสองจะทรยศต่อสำนักและสังหารคนไปมากมาย ซึ่งมีโทษร้ายแรง ทว่าอย่างไรเสีย พวกเขาก็มีสถานะสูงส่ง หากไม่มีคำสั่งจากเจ้าสำนัก ไม่มีผู้ใดกล้าจัดการโดยพลการ
ส่วนหอกระบี่ฉางเจี้ยนและหอพระสูตรเจี๋ยลวี่… เจี้ยนอู๋ซินและชิวฉางเซิงทั้งสองนั้นหมกมุ่นวางแผนในสำนักสาขามาหลายปี ซ่อนเร้นเจตนาชั่วร้ายที่ไม่ธรรมดา แม้ดูเหมือนสถานการณ์ตอนนี้จะเงียบสงบ ทว่าเกรงว่าจะสงบอยู่ได้ไม่นาน ยังจำเป็นต้องให้เจ้าสำนักคนใหม่รับตำแหน่งโดยเร็วที่สุด เพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวม”
ซูจิ่นซีพยักหน้าเล็กน้อย แสดงถึงความเข้าใจ
จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องก็รู้สถานการณ์ของข้าและโยวเหยาดี หลายปีที่ผ่านมา เรื่องในสำนักต่างมีศิษย์พี่คอยช่วยเหลือ อาจารย์จัดการทุกอย่างไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ หลังจากนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง ยังจำเป็นต้องรบกวนศิษย์พี่ช่วยดูแลไปก่อน”
เสวียนเจิ้นจื่อหยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ในฐานะศิษย์ในสำนัก ช่วยเจ้าสำนักปฏิบัติภารกิจต่างๆ เป็นหน้าที่ที่ไม่อาจละทิ้งได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่ภายในสำนักตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวายและอันตราย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าข้าจะใส่ใจมากเพียงใด ก็ต้องให้ศิษย์พี่เยี่ยออกมาพูดอธิบายภาพรวมทั้งหมดให้พวกเราก่อน”
“พี่สะใภ้ ร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง? ”
ที่แท้เสวียนเจิ้นจื่อมาที่นี่เพื่อหยั่งเชิงนางสองสามีและภรรยา
ปกติแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่นางจะแสดงออกทางสีหน้าเพื่อเผยข้อมูลใดๆ ต่อเสวียนเจิ้นจื่อ
ซูจิ่นซีเพียงยกยิ้มอย่างสุภาพและพูดว่า “มีข้ากับอวิ๋นจิ่นอยู่ที่นี่ ทั้งยังมีซูอวี้กับรัชทายาทตงหลิงซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ร่างกายของโยวเหยาต้องปกติดี เพราะฉะนั้นศิษย์น้องวางใจได้”
“ในเมื่อไม่มีปัญหาร้ายแรง ก็ควรออกมาพูดทำให้ผู้คนสบายใจ! พี่สะใภ้ ท่านไม่รู้หรือ ตอนนี้ศิษย์ในสำนักต่างพูดว่า… ”
เสวียนเจิ้นจื่อยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกผู้อาวุโสเสวียนชิงขัดจังหวะ “เสวียนเจิ้นจื่อ เจ้าทำเกินไปแล้ว”
กลับไม่คิดว่า เสวียนเจิ้นจื่อจะตัดสินใจพูดต่อไปว่า “แม้จะเป็นการล่วงเกิน ข้าก็ต้องพูด พี่สะใภ้ ตอนนี้ศิษย์ต่างพูดกันว่า ศิษย์พี่ใหญ่ถูกยาพิษของอสูรพิษแห่งแคว้นไหวเจียง ไม่มีทางรักษา ทุกคนต่างตื่นตระหนกและร้องขอให้มาสอบถามพี่สะใภ้ให้เข้าใจ! ”
“บัดซบ! ” ผู้อาวุโสหลิงอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้ใดเป็นคนพูดสร้างความเข้าใจผิดเช่นนี้ เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยิน? ”
“คำพูดเช่นนี้ ทุกคนไม่กล้าพูดตรงๆ ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัว ผู้อาวุโสทั้งสองไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนก็สมเหตุสมผลแล้ว อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบของข้า คำพูดเหล่านี้มาจากหอกระบี่ฉางเจี้ยนและหอพระสูตรเจี๋ยลวี่ ในเวลานี้ สถานการณ์ของทั้งสองแห่งนั้นอ่อนไหวที่สุด! หากจัดการได้ไม่ดีอาจเกิดความวุ่นวายได้ ต้องระมัดระวังไว้ก่อน”
ได้ยินจากหอกระบี่ฉางเจี้ยนและหอพระสูตรเจี๋ยลวี่ สีหน้าของผู้อาวุโสเสวียนชิงและผู้อาวุโสหลิงอวิ๋นเปลี่ยนไปเล็กน้อย และไม่ได้พูดอันใด
ในขณะที่ไม่มีผู้ใดสนใจ แววตาของเสวียนเจิ้นจื่อเปล่งประกายเย็นชาราวกับว่าการสมคบคิดสำเร็จผล เขาถามหยั่งเชิงซูจิ่นซีอีกครั้ง “พี่สะใภ้ หากศิษย์พี่ใหญ่ไม่สามารถออกมาได้จริงๆ ท่านก็ต้องจัดการเรื่องต่างๆ แทน จะต้องไม่ทำให้สำนักกระบี่คุนหลุนที่มีรากฐานมาเป็นเวลาหลายพันปีถูกทำลายลงในตอนนี้! “