สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 34 ตอนที่ 995 หากมีชาติภพหน้า
ทันทีที่สิ้นเสียง ลมเย็นยะเยือกพลันหมุนวนอยู่เหนือโต๊ะ และกลายเป็นควันหนาสีดำ
ใบหน้าดุร้ายน่าสะพรึงกลัวค่อยๆ โผล่ออกมาจากควันหนาสีดำ
ใบหน้าคล้ายมนุษย์ทว่าไม่เหมือนมนุษย์ เพราะไม่เห็นเนื้อหนังที่มนุษย์พึงมี ทว่าประกอบด้วยควันหนาพร่ามัว ร่างผอมโซราวกับโครงกระดูก ดวงตาสีแดงขนาดใหญ่ราวกับโคมไฟลุกโชน
ริมฝีปากขยับขึ้นลงส่งเสียงดังกังวาน “มามากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? เครื่องสังเวยแต่ละครั้งมีเพียงหนึ่งไม่ใช่หรือ? ทว่าในเมื่อมาแล้ว ข้าก็ไม่มากเรื่อง นอกจากเด็กน้อยใบหน้าแจ่มใสนั่น ส่วนที่เหลือล้วนกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน ทว่าข้าไม่ได้เสพสุขกับเครื่องสังเวยมานานมากแล้ว ข้าขอรับไว้ทั้งหมด”
ตอนที่สัตว์ประหลาดพูด ดวงตาเหมือนโคมไฟสีแดงเพลิงมองเพียงหลานเยวี่ยหลี
ร่างกายของหลานเยวี่ยหลีสั่นเทาอย่างรุนแรงและอดหดกายไปด้านหลังไม่ได้
สัตว์ประหลาดโกรธทันที “หึ เจ้าไม่ยินยอม”
ซูจิ่นซีรีบเรียกอาวุธของตนเองออกมา ตงหลิงหวงเรียกกระบี่วิเศษออกมาเพื่อปกป้องหลานเยวี่ยหลีที่อยู่ด้านหลัง
“พวกข้ามาเพื่อผ่านด่าน ไม่ใช่เครื่องสังเวยอันใดอย่างที่เจ้าพูด ชนะเจ้าได้ก็ถือว่าผ่านด่านนี้มิใช่หรือ? ” ซูจิ่นซีกล่าว
สัตว์ประหลาดตนนั้นมองซูจิ่นซี ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “พวกเจ้าเพียงสองคน คิดจะเอาชนะข้าหรือ? ”
“ไม่ลองจะรู้ได้อย่างไร? ” ตงหลิงหวงกล่าว
ทั้งสองคนพูดพลางกุมกระบี่และกระโจนเข้าใส่สัตว์ประหลาดตนนั้น
หลานเยวี่ยหลีรีบก้าวไปข้างหน้าและคว้าแขนซูจิ่นซีไว้
“พระชายา ท่านอุ้มท้องท่านอ๋องน้อยอยู่ ไม่ควรเข้าไปเสี่ยงอันตราย ด่านนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด! ”
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปาก “ข้าจะระวัง อีกอย่าง จะไม่ให้ข้าและรัชทายาทตงเฉินผู้มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมทั้งสองคนเข้าร่วมต่อสู้ แล้วปล่อยให้แม่นางน้อยวรยุทธ์ไม่สูงอย่างเจ้าฝ่าด่านได้อย่างไร? เจ้าวางใจเถิด หลบซ่อนในที่ปลอดภัยกับถังเสวี่ยก็พอ รอจนจัดการกับสัตว์ประหลาดนั่นเสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยออกมา”
นางพูดพลางเหลือบมองถังเสวี่ยที่อยู่ไกลออกไป
ถังเสวี่ยรีบก้าวไปข้างหน้าแล้วลากหลานเยวี่ยหลีกลับไป
“เจ้าเลิกสร้างปัญหา ซูจิ่นซีกับรัชทายาทตงเฉินจัดการก็ได้แล้ว”
“ทว่า… ”
หลานเยวี่ยหลียังต้องการพูดบางอย่าง ทว่ายังไม่ทันพูดประโยคหลังจบ นางก็ถูกถังเสวี่ยขัดจังหวะและลากไปหลบอยู่ในมุมที่ปลอดภัย
“ไม่ต้องทว่าแล้ว”
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงร่วมมือกันจัดการกับสัตว์ประหลาด แววตาของหลานเยวี่ยหลีมองไปที่ร่างของสัตว์ประหลาดตลอดเวลา และจับจ้องหนังมนุษย์ด้านหลังม่านเป็นครั้งคราว ใบหน้าก็ยิ่งซีดลง
ถังเสวี่ยเหลือบมองหลานเยวี่ยหลีอย่างสงสัย
“เหตุใดมือเจ้าถึงได้เย็นเฉียบเพียงนี้? ”
“…” หลานเยวี่ยหลีกำมือตนเองแน่นและไม่ได้พูดอันใด
ถังเสวี่ยนำมือของหลานเยวี่ยหลีมาไว้ในแขนเสื้อของตนเองอย่างสนิทสนมและพูดปลอบ “อย่าได้กลัว ซูจิ่นซีกับรัชทายาทตงเฉินไม่เป็นอันใดอยู่แล้ว ผู้นำซูและโยวอ๋อง พวกเขาก็จะไม่เป็นอันใดเช่นกัน พวกเราจะต้องออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยแน่นอน”
ความจริงแล้ว ในใจถังเสวี่ยหวาดกลัวอย่างมาก ทว่ากลับรวบรวมความกล้าเพื่อปลอบใจหลานเยวี่ยหลี เพราะมีเพียงวิธีนี้ ก้นบึ้งในหัวใจของนางถึงได้รู้สึกมั่นคง ถังเป่าอวี้จะต้องไม่เป็นอันใด อันตรายครั้งนี้นางไม่ตาย ถังเป่าอวี้ตายก่อนนางหนึ่งก้าวได้อย่างไรเล่า!
ขณะที่กำลังพิจารณา เมื่อเห็นซูจิ่นซีแทงกระบี่เข้าไปในดวงตาเสมือนโคมไฟที่ลุกโชน นางก็ตกใจกลัวอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นร่างของซูจิ่นซีกำลังจะกระแทกพื้นอย่างแรง ถังเสวี่ยและหลานเยวี่ยหลีที่ดูอยู่ต่างอ้าปากค้าง
“ซูจิ่นซี… ”
“พระชายาโยวอ๋อง… ”
โชคดีที่ตอนซูจิ่นซีกำลังจะล้มลงกับพื้น จู่ๆ นางก็พลิกตัวหมุนตลบสองครั้งกลางอากาศแล้วร่อนลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
ทุกคนอ้าปากค้าง
โชคดีที่ไม่ล้มลงไป
หากล้มลงไปจริงๆ พวกนางไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นว่าตงหลิงหวงจัดการกับสัตว์ประหลาดไม่สำเร็จ ทั้งยังกระเด็นล้มกระแทกพื้นอย่างรุนแรง หลานเยวี่ยหลีที่ดูการต่อสู้ต่อไปไม่ไหวจึงรีบพุ่งไป
“หลานเยวี่ยหลี เจ้าทำอันใด? ”
ทันทีที่ถังเสวี่ยตะโกนออกมาก็อ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจและตกตะลึงอยู่กับที่
นางเห็นเพียงหลานเยวี่ยหลีพุ่งออกไปและขว้างกระดิ่งลมใส่สัตว์ประหลาดตนนั้นอย่างรวดเร็ว กระดิ่งลมตกลงไปในควันหมุนวนสีดำขนาดใหญ่ที่สุดบนร่างของสัตว์ประหลาด จู่ๆ ก็ถูกคายออกมาและห้อยอยู่เหนือศีรษะของหลานเยวี่ยหลี
จากนั้น ทั่วทั้งร่างของหลานเยวี่ยหลีปรากฏแสงสว่างวาบขึ้นมา ซึ่งเป็นแสงลึกลับที่ออกมาหลังจากปลุกพลังเซิ่งหนี่ว์ในร่างของเซิ่งหนี่ว์แห่งเผ่าเม้ย
ซูจิ่นซีและตงหลิงหวงตกใจกับแสงนั้นจนถอยหลังไปสองก้าว
หลานเยวี่ยหลีอยู่ท่ามกลางแสงลึกลับนั้น นางค่อยๆ เงยหน้ามองสัตว์ประหลาดควันสีดำ หยดน้ำสีใสค่อยๆ ไหลลงมาจากหางตา
ซูจิ่นซีรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางรีบตวาด “หลานเยวี่ยหลี เจ้าคิดจะทำอันใด? ”
หลานเยวี่ยหลีมองไปทางซูจิ่นซีและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย นางไม่ได้ตอบคำถามของซูจิ่นซี แต่กล่าวว่า “พระชายาโยวอ๋อง หากผู้นำซูกลับมา รบกวนท่านบอกเขาด้วยว่าหลานเยวี่ยหลีจดจำอดีตได้แล้ว หลานเยวี่ยหลีจดจำได้แล้วว่าเขาคือผู้ใด… และจดจำอดีตที่แสนหนักหน่วงที่ผ่านมาได้แล้ว”
ซูจิ่นซียิ่งรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีมากขึ้น “เหตุใดเจ้าไม่บอกเขาด้วยตนเอง? ”
หลานเยวี่ยหลีไม่ตอบ ทว่าหันศีรษะมองไปทางสัตว์ประหลาดควันดำต่อ แล้วค่อยๆ หลับตาลง
สัตว์ประหลาดควันดำดูเหมือนจะมองหลานเยวี่ยหลีอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้าคือผู้ที่แคว้นเป่ยอี้เลือกให้สืบทอดเป็นเซิ่งหนี่ว์คนต่อไปหรือ”
หลานเยวี่ยหลีกล่าวเบาๆ “ข้าเอง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเซิ่งหนี่ว์มีไว้ทำอันใด? ”
“รู้”
เผ่าเม้ยสืบทอดมาหลายพันปี ตอนนี้ไม่มีเทพธิดา มีเพียงเซิ่งหนี่ว์เท่านั้น และเซิ่งหนี่ว์ไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์เหมือนเทพธิดาในอดีต
ตั้งแต่เผ่าเม้ยโดดเดี่ยวและตกต่ำสู่ดินแดนนรกเก้าขุม ครั้งหนึ่งในอดีต ท่านเทพผู้ปกครองสูงสุดของเผ่าเม้ยได้ถูกขังอยู่ที่ชั้นห้าในเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์เทียนเม้ยหลิงหลงแห่งนี้ อยู่เพื่อดูดเลือดและวิญญาณของผู้ที่บุกเข้ามา
หากไม่มีวิญญาณผ่านด่านมาเป็นเวลานาน ท่านเทพเผ่าเม้ยจะต้องตายเพราะร่างกายทนความเจ็บปวดจากการเผาไหม้ไม่ได้ เพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดต่อไป ท่านเทพเผ่าเม้ยจะต้องหนีออกจากดินแดนนรกเก้าขุมและค้นหาสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ใต้เขาคุนหลุน
เพื่อระงับพลังแห่งโทสะของท่านเทพเผ่าเม้ย ผู้สืบทอดเซิ่งหนี่ว์แต่ละรุ่นจะต้องถูกสังเวยให้แก่ท่านเทพเผ่าเม้ย เพื่อปกป้องพสกนิกรแคว้นเป่ยอี้ให้สงบสุข
ดังนั้นเซิ่งหนี่ว์แห่งเผ่าเม้ยในปัจจุบันจึงกลายเป็นเครื่องสังเวย
ซูจิ่นซีดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง ทันใดนั้น นางก็เหลือบมองผิวหนังมนุษย์ที่ตากแห้งอยู่หลังฉากกั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างมาก
“หลานเยวี่ยหลี เจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้ เจ้ากลับมาหาข้า” ระหว่างที่พูด นางก็พุ่งไปหาหลานเยวี่ยหลีและพยายามลากกลับมา
ทว่านางยังไม่ทันได้เข้าใกล้หลานเยวี่ยหลี ก็ถูกแสงลึกลับทั่วร่างของหลานเยวี่ยหลีสะท้อนกลับมา
หลานเยวี่ยหลีค่อยๆ หันศีรษะมองไปทางซูจิ่นซี แววตายังปรากฏรอยยิ้มจางๆ
“พี่จิ่นซี… ” คำสามคำเพิ่งกล่าวออกมา น้ำตาของหลานเยวี่ยหลีก็ไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้ น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ความจริงข้าอยากเรียกท่านเช่นนี้มานานแล้ว พี่จิ่นซี หากมีชาติภพหน้า ข้าอยากรู้จักท่าน รู้จักโยวอ๋อง แม่นางถังเสวี่ย รัชทายาทตงเฉิน แล้วก็… เจ้าหุบเขาอู๋”
ระหว่างพูด น้ำตาก็ไหลออกมาดั่งทำนบแตก