สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1025 เรื่องภายในที่ผู้อื่นไม่เคยล่วงรู้
ทุกคนพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน ยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่รู้เป็นผู้ใดในฝูงชน จู่ๆ ก็เปลี่ยนประเด็น “กระบี่วิเศษยวี่หลง สมบัติล้ำค่าของสำนักเราสูญหายก็พอทำเนา ไม่เพียงต้องคืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักเท่านั้น ทว่าต้องคืนกระบี่วิเศษยวี่หลงอีกด้วย”
ทุกคนต่างตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าไม่ได้ขบคิดให้ละเอียดว่า เพราะเหตุใด กระบี่ยวี่หลงถึงอยู่กับศิษย์พี่เยี่ย ทุกคนตะโกนออกไปว่า “ใช่ คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนัก คืนกระบี่วิเศษยวี่หลง”
“มอบเหรียญตราผู้นำสำนัก มอบกระบี่ยวี่หลง! ”
“คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนัก คืนกระบี่วิเศษยวี่หลง! ”
“คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนัก คืนกระบี่วิเศษยวี่หลง! ”
……
เสียงนั้นดังมากจนซูจิ่นซีซึ่งอ่อนล้าทางกายยังรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย นางซวนเซถอยกลับไปสองก้าว อวิ๋นจิ่นก้าวไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัวและยืนอยู่ทางซ้ายของซูจิ่นซี ซึ่งเป็นตำแหน่งพอเหมาะที่จะปกป้องซูจิ่นซี ทว่าไม่สูญเสียความพอดีต่อกาลเทศะ
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาที่อบอุ่นดั่งหยกนั้นค่อย ๆ เย็นลงและกวาดสายตามองกลุ่มคน ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าสงบนิ่ง ทว่า จู่ๆ ทุกคนก็รู้สึกหนาวสั่นภายในก้นบึ้งหัวใจ พวกเขาอดหุบปากไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนที่กล้าหาญและไม่มีท่าทีหวาดกลัว เขาตะโกนขึ้นมาว่า “พระชายาโยวอ๋อง อย่างไรก็ตาม คิดถึงมิตรภาพระหว่างศิษย์พี่เยี่ยกับศิษย์สำนักพวกเรา ท่านเป็นพระชายาของศิษย์พี่เยี่ย พวกเราย่อมเคารพท่านอยู่แล้ว หากศิษย์พี่เยี่ยไม่สามารถออกมาอธิบายให้กับพวกเรา ท่านเองก็คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและกระบี่วิเศษยวี่หลง เรื่องทุกอย่างก็จบเพียงเท่านี้! ไม่เช่นนั้น… พวกเราทุกคนจะไม่มีวันรามือแน่”
ตั้งต้นจนจบ ซูจิ่นซีไม่ได้พูดเลยสักคำ ทว่าเมื่อนางได้ยินเสียงของลูกศิษย์คนนั้น คิ้วของนางก็กระตุกเล็กน้อย “เหอะ! จะไม่มีวันรามืออย่างไรหรือ? ”
ศิษย์คนนั้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ยังไม่ทันได้ตอบกลับ แววตาของซูจิ่นซีก็ปรากฏความเย็นชามากยิ่งขึ้น “สมคบคิดศัตรูภายนอก ทรยศสำนัก สังหารอาจารย์ ฆ่าศิษย์ร่วมสำนัก คนที่กระทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ เชือดด้วยดาบนับพันเล่มยังน้อยเกินไป จะปล่อยผ่านเรื่องเช่นนี้ไปง่ายๆ ได้อย่างไร! ”
ทุกคนต่างตกตะลึง
เดิมทีคิดว่าซูจิ่นซีจะเปิดปากพูดโต้แย้งแทนเยี่ยโยวเหยา กลับไม่คาดคิดว่านางจะพูดคำพูดเช่นนี้
โดยเฉพาะ ชิงอวิ๋นจื่อที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใด
กลับไม่คิดว่า คำพูดของซูจิ่นซีจะเปลี่ยนไป “คนเช่นนี้ควรสังหาร! ควรสอบสวน ตรวจสอบให้รู้ความจริงแล้วจับมาเชือดด้วยดาบนับพันเล่มยังน้อยเกินไป”
มีใครบางคนในกลุ่มคนตะโกนขึ้นมาว่า “พระชายาโยวอ๋อง ท่านอย่าฝืนอีกเลย ข้ารู้ว่าท่านบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังตั้งครรภ์อีก ท่านฝืนอยู่ที่นี่ลำบากมากแล้ว ท่านควรคืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและกระบี่วิเศษยวี่หลง ส่วนเรื่องอื่นค่อยหารือกันใหม่หลังจากอาการบาดเจ็บของศิษย์พี่เยี่ยหายดีแล้ว”
“ใช่ พระชายาโยวอ๋อง หากยังฝืนอยู่เช่นนี้ย่อมไม่เป็นผลดีกับทารกในครรภ์และตัวท่านเอง อย่าดื้อดึงเลย คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและกระบี่วิเศษยวี่หลงมาเถิด! ”
“คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและกระบี่วิเศษยวี่หลง! ”
“คืนมา! ”
แม้ยังคงกดดันซูจิ่นซี ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็เป็นสตรีตั้งครรภ์และได้รับบาดเจ็บสาหัส น้ำเสียงของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าบนโลกใบนี้ หลังตบหน้าเจ้าไปเมื่อครู่อย่างจัง ต่อมากลับมอบคำหวานปลอบใจ จะมีเรื่องที่ดีเช่นนี้หรือ?
แววตาเย็นชาของซูจิ่นซีค่อยๆ เคลื่อนไปที่ลูกศิษย์คนที่พูดเกลี้ยกล่อม แววตาของนางเย็นชาดุดันมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ดวงตาสว่างสดใสเฉียบคมราวกับใบมีด
“ข้าบาดเจ็บสาหัสและตั้งครรภ์เป็นเรื่องจริง ทว่าหากข้าต้องการจะฆ่าเจ้าในตอนนี้ ก็เหมือนกับฆ่ามดปลวก”
ลูกศิษย์คนนั้นสะดุ้งตกใจ ก่อนจะเซถอยหลังไปสองก้าวและรู้สึกเย็นวูบตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาไม่สามารถพูดอันใดได้เป็นเวลานาน
“พระชายาโยวอ๋องช่างกล้าหาญยิ่งนัก ท่านคงต้องบดขยี้ศิษย์สำนักเราทั้งหมดให้ตายตรงนี้กระมัง? ” ลูกศิษย์ที่ไม่กลัวซูจิ่นซีตะโกนออกมาเสียงดัง
แววตาเย็นชาของซูจิ่นซีค่อยๆ เคลื่อนไปหาลูกศิษย์คนนั้น กลับไม่คิดว่า จู่ๆ เฉาเซิง ผู้นำผาเฉาหยางจะปรากฏตัวขึ้นในสายตาของซูจิ่นซี
ใบหน้าอ่อนโยนจริงจังขึ้นเล็กน้อย และพูดว่า “จิ่นซี เจ้าก็ควรฟังทุกคนบ้าง คืนป้ายคำสั่งเจ้าสำนักและกระบี่วิเศษยวี่หลงชั่วคราวเถิด! หากเจ้ารู้ที่อยู่ของกระบี่ยวี่หลง เจ้าก็ควรบอกทุกคน ทุกคนจะได้ไปเอากลับคืนมา”
เฉาเซิง นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
ไม่เพียงซูจิ่นซีเท่านั้น ตงหลิงหวง มู่หรงฉี มู่หรงอวิ๋นไห่ และจงซีจือ ต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ชื่อหงแสดงสีหน้าประหลาดใจ “เฉาเซิง นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร? ”
“จะหมายถึงอันใดได้? ” เฉาเซิงเหลือบมองชื่อหงด้วยใบหน้าโศกเศร้า “โยวเหยาเป็นคนที่ศิษย์พี่อวี้หยางฟูมฟักมาแต่เล็กด้วยตนเอง เจ้ากับข้าและผู้นำทุกคนต่างก็เห็นเขาแต่เล็ก ตอนนี้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เจ้าคิดว่าข้ารู้สึกดีนักหรือ? ”
ชื่อหงเดินไปหาเฉาเซิงสองก้าว ก่อนจะชี้ไปที่ชิงอวิ๋นจื่อและลูกศิษย์ที่กำลังบีบบังคับซูจิ่นซี “เจ้าเชื่อคำพูดพวกเขาหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น? ”
ใบหน้าของเฉาเซิงปรากฏความเจ็บปวดใจที่ลึกซึ้งขึ้นเล็กน้อย “หลักฐานแน่นหนาดั่งภูเขา เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร? ข้าก็หวังว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องเท็จ ทว่ามีลูกศิษย์มากมายเป็นพยาน หรือว่าลูกศิษย์ทั้งหมดกำลังปรักปรำเขาหรือ? ”
“นั่นมันปรักปรำโยวเหยา! ” ชื่อหงจิตใจแน่วแน่ นางมองเฉาเซิงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และค่อยๆ ถอยหลังสองก้าว “ข้าไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีจะเป็นคนเช่นนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโยวเหยากับจิ่นซี พวกเขาไม่มีทางเป็นอย่างที่พูด เฉาเซิง เจ้าอยู่มาเกือบจะร้อยปีแล้ว ดูท่ายิ่งชรายิ่งเลอะเลือน เจ้าลืมไปแล้วหรือ ตอนแรกผู้ใดทำร้ายเจ้า และผู้ใดช่วยเจ้าขณะที่เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาตัวไม่รอด เจ้าลืมไปแล้วหรือ หากโยวเหยาและจิ่นซีปรากฏตัวไม่ทันเวลา เจ้าคงตายที่ภูเขาด้านหลังไปนานแล้ว? ”
เมื่อพูดถึงเรื่องที่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาช่วยชีวิตเขา ดวงตาของเฉาเซิงพลันเปล่งประกายได้สติขึ้นมา ทว่ามันก็จางลงอย่างรวดเร็วด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาจงใจหลบเลี่ยงข้อสงสัยของพวกเราก็เป็นได้”
ชื่อหงมีท่าทีประหลาดใจมากยิ่งขึ้น จู่ๆ นางก็ชี้ไปที่ตำแหน่งของซูจิ่นซี “หากพวกเขาจงใจแสร้งทำจริง ต้องเสียสละตนเองถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ” จากนั้นปลายนิ้วมือก็ชี้ไปที่ประตูห้องของเยี่ยโยวเหยา “ตอนนี้โยวเหยายังนอนอยู่ข้างใน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เขาจะวางแผนกับศัตรูได้อย่างไร? เอาชีวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงได้อย่างไร? โยวเหยาเป็นลูกศิษย์ของศิษย์พี่อวี้หยาง ทั้งเจ้าก็เคยสอนวรยุทธ์ให้เขาและเคยสั่งสอนวิถีแห่งการบำเพ็ญตน เจ้าไม่เชื่อใจลูกศิษย์ของตนเอง เจ้าคิดว่าเจ้ากับศิษย์พี่อวี้หยางไร้ความสามารถ สั่งสอนศิษย์ทรยศออกมาเช่นนี้หรือ? ”
เฉาเซิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง พลางมองชื่อหงด้วยสีหน้าสับสน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังลังเลเกี่ยวกับเรื่องนี้
กลับไม่คาดคิดว่า ชิงอวิ๋นจื่อจะปรากฏตัวขึ้นระหว่างกลางเฉาเซิงกับชื่อหง
“อาจารย์อาชื่อหง ศิษย์ทราบดีว่าท่านค่อนข้างชื่นชอบศิษย์พี่เยี่ย ทว่าเรื่องที่ศิษย์พี่เยี่ยฝึกฝนวรยุทธ์กับอดีตเจ้าสำนักเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอากับเขาไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีแล้ว คนย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้ เยี่ยโยวเหยาในวันนี้ไม่ใช่คนที่ท่านอาเคยเห็น… ”
ชื่อหงไม่สนใจคำพูดของชิงอวิ๋นจื่ออยู่แล้ว นางขัดจังหวะก่อนที่เขาจะพูดจบ ก่อนจะมองตรงไปทางเฉาเซิง
“เฉาเซิง โยวเหยาฝึกฝนบำเพ็ญเพียรที่สำนักกระบี่คุนหลุน ไม่มีใครรู้รายละเอียดในตอนนั้น ทว่าเจ้าเป็นคนที่ดูแลเขาแทนศิษย์พี่เจ้าสำนักด้วยตนเอง คนที่รู้จักเขาดีที่สุดก็คือคนที่โยวเหยาอยู่ด้วยนานที่สุด เจ้าลองบอกกับทุกคนสิว่า เขา… เปลี่ยนไปหรือไม่? ”
???
ทุกคนต่างตกตะลึง
คำพูดของชื่อหงทำให้เขาไม่ได้สติอยู่เป็นเวลานาน
เยี่ยโยวเหยาเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักนักพรตอวี้หยาง มาอยู่ในสำนักกระบี่คุนหลุนตอนอายุได้สิบขวบ อยู่ในสำนักเป็นเวลาสองปี เขามีพรสวรรค์และเป็นพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ สามารถฝึกฝนบำเพ็ญเพียรถึงระดับขั้นที่คนธรรมดาต้องใช้เวลาฝึกถึงยี่สิบปี โดยใช้เวลาเพียงสองปีเท่านั้น จากนั้นก็อำลาลงจากภูเขา
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เจ้าสำนักนักพรตอวี้หยางสั่งสอนและปลูกฝังเขาด้วยตนเอง ไม่ยอมให้ผู้อาวุโสคนอื่นในสำนักเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าชื่อหงกลับพูดว่าเฉาเซิงดูแลเขาแทนเจ้าสำนักและอยู่กับเขานานที่สุด
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
หรือว่าเรื่องที่เยี่ยโยวเหยาฝึกฝนวรยุทธ์ที่สำนักกระบี่คุนหลุนในตอนนั้น จะมีบางเรื่องที่คนอื่นยังไม่รู้อีก?