สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1029 ต่ำต้อยดั่งฝุ่นผง
รักคนคนหนึ่ง รักลึกซึ้ง ตนเองจมดิ่งลงดั่งฝุ่นผงธุลีดิน แม้สถานะของเขาจะสูงศักดิ์ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าซูจิ่นซี เขากลับรู้สึกเสมอว่าตนเองต้อยต่ำ
ต่ำต้อย… ไม่มีวันใดเลยที่ไม่อยากให้นางหันกลับมามองเขาอีกสักสองสามครั้ง ให้นางจดจำอดีตได้บ้าง และอ่อนโยนกับเขาบ้าง หลังเวลาผ่านไปนาน เขารู้สึกว่าตนเองเล็กกว่าหยดน้ำในมหาสมุทร
ทว่าเขาไม่คาดคิดเลยว่าในใจนาง ภาพลักษณ์ของเขา… สูงศักดิ์ได้เพียงนี้
สูงศักดิ์ดั่งเทพเซียน เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา กล้าพูดเหลวไหลว่าเหมือนเขา คู่ควรหรือ!!!
ทุกคำพูดของซูจิ่นซีเป็นดั่งค้อนหนักที่ทุบลงมา… ยังก้นบึ้งหัวใจของเขา ทำให้เกิดระลอกคลื่น หัวใจของเขาเต้นแรงนับพันครั้ง เขาอยากก้าวไปข้างหน้าในเวลานี้ ไม่ว่าโลกจะคิดอย่างไร ไม่ว่าชะตากรรมจะวนเวียนเช่นไร ไม่ว่านางจะมีเขาอยู่ในใจหรือไม่ เขาก็ไม่สนใจอันใดทั้งสิ้นและยืนอยู่เบื้องหน้านางอย่างไม่ลังเล
ทว่าเขาทำไม่ได้
โลกทั้งโลกกลายเป็นเหมือนเส้นด้ายที่พันเป็นเกลียว นางเหนื่อยทั้งกายและใจ เขาจะไม่สร้างปัญหาให้นางอีก
เพราะฉะนั้น คลื่นทะเลนับพันจึงถูกเขากดทับอีกครั้งและกลับคืนสู่ความสงบ
เขาทำได้เพียงมองอยู่เงียบงัน เฝ้าคอยอย่างเงียบๆ …มองสตรีบอบบางที่อยู่เบื้องหน้า ทว่ากลับสง่างามดุจสายรุ้ง ดั่งจักรพรรดินี
ซูจิ่นซีเดินไปข้างหน้าศิษย์คนที่สอง น้ำเสียงของนางยังคงเย็นชา
“แล้วเจ้า เจ้าเห็นหรือ? ”
หน้าผากของลูกศิษย์เต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ เขาก้มหน้านิ่งไม่กล้าสบตา มองเพียงปลายเท้าของซูจิ่นซี
“ศิษย์… ศิษย์… ”
อ้ำอึ้งอยู่เป็นเวลานานโดยไม่พูดอันใดให้ชัดเจน ซูจิ่นซีจึงเดินไปด้านหน้าศิษย์คนที่สาม “แล้วเจ้าเล่า! ”
ศิษย์คนนั้นตกใจกลัวมากจนควบคุมตนเองไม่อยู่และคุกเข่าลงกับพื้น
“ฮูหยินเจ้าสำนัก ไว้ชีวิตด้วย ฮูหยินเจ้าสำนัก ไว้ชีวิตด้วย! ศิษย์… ศิษย์มีตาหามีแววไม่ มองผิดเอง เป็นศิษย์ที่มองผิดเอง คนคนนั้นไม่ใช่คุณชายจิ่ว ไม่ใช่คุณชายจิ่วอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้น ศิษย์ที่เหลือพลันคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเขา และพูดพร้อมกันว่า “ฮูหยินเจ้าสำนัก ไว้ชีวิตด้วย! ศิษย์สายตาพร่ามัว มองผิดเอง คนคนนั้นไม่ใช่คุณชายจิ่ว”
ซูจิ่นซีค่อยๆ หันกลับมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าพูดจาเหลวไหล ใส่ร้ายคุณชายจิ่วหรือ พูดออกมา ใครสั่งให้เจ้าทำเช่นนี้! ”
“…”
หลายคนไม่ยอมปริปาก ซูจิ่นซีจึงพูดต่อ “หากเจ้าไม่พูด ต้องเป็นการกระทำของเจ้าเอง ใครก็ได้ สังหารพวกเขาทั้งหมด”
ลูกศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนยืนนิ่ง ซูจิ่นซีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเหลือบมองไปทางด้านหลังกลุ่มคน “จิ้นหนานเฟิงอยู่ที่ใด? องครักษ์วิญญาณอยู่ที่ใด? พระชายาอย่างข้าออกคำสั่งพวกเจ้าไม่ได้แล้วหรือ? ”
แม้จิ้นหนานเฟิงกับบรรดาองครักษ์วิหารวิญญาณจะติดตามซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยามาตลอดทาง ทว่าหลังจากเข้ามายังสำนักกระบี่คุนหลุน พวกเขาจะถ่อมตัวตลอดเวลา มิหนำซ้ำ ขณะที่ชิงอวิ๋นจื่อพาคนจำนวนหนึ่งบุกเข้ามา เพราะเขาไม่ได้รับคำสั่งที่ชัดเจนจากซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยา พวกเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในเงามืดไม่เคลื่อนไหว
เมื่อครู่นี้ จิ้นหนานเฟิงคิดว่าซูจิ่นซีกำลังเรียกศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุน เขาจึงไม่ได้ปรากฏตัว ทว่าตอนนี้ซูจิ่นซีตวาดออกมาเสียงดัง เขาจึงรีบพาคนจำนวนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าซูจิ่นซี และวางกระบี่ยาวของเขาบนบ่าของลูกศิษย์ที่กำลังคุกเข่า
ภายใต้ท้องฟ้าและหิมะที่เย็นยะเยือก แสงคมกระบี่นั้นยิ่งเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ เมื่อสัมผัสผิวหนัง ทำให้หลายคนสั่นสะท้าน ตัวแข็งทื่อราวกับมนุษย์หิมะ ไม่กล้าเคลื่อนไหว
แม้แต่เสียงร้องขอความเมตตาก็ยังแหบแห้ง “ฮูหยินเจ้าสำนัก ไว้ชีวิตด้วย! ไว้ชีวิตด้วย! ”
“ฮูหยินเจ้าสำนัก พวกเราภักดีต่อสำนักกระบี่คุนหลุน ท่านปฏิบัติ… ต่อพวกเราเช่นนี้ไม่ได้! ”
“ฮูหยินเจ้าสำนัก ไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย! ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองคนพวกนั้นอีกครั้ง นางนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด
จนมีใครบางคนรีบปริปาก “ข้าพูดแล้ว ข้าพูดทุกอย่างแล้ว! เป็น… ”
ก่อนที่คนคนนั้นจะพูดจบ ชิงอวิ๋นจื่อก็กระโดดออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ซูจิ่นซี เจ้ากับจิ่วหรงสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นไหวเจียง บัญชีแค้นของสำนักกระบี่คุนหลุนเรา เรื่องนี้ยังไม่อธิบายให้ชัดเจน เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาวางอำนาจที่สำนักกระบี่คุนหลุน ฆ่าฟันผู้บริสุทธิ์! ”
แววตาของซูจิ่นซีหันไปหาชิงอวิ๋นจื่ออย่างเชื่องช้า “โอ้? ฆ่าผู้บริสุทธิ์หรือ? ”
ภายในใจของชิงอวิ๋นจื่อกลัวซูจิ่นซีในเวลานี้อยู่บ้าง ทว่าหากเขาไม่ยอมส่งเสียง ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้นแน่ จากนั้นจึงตัดสินใจยืดอกและพยายามเปล่งเสียงให้ดังขึ้น เพื่อให้ตนเองมีความกล้า “อย่ามองข้าด้วยสายตาชั่วร้ายเช่นนี้ เจ้าคิดว่าใช้สายตาเย็นชาจะทำให้ทุกคนหวาดกลัวได้หรือ คนอื่นกลัวเจ้า ทว่าข้า ชิงอวิ๋นจื่อ ไม่กลัว! ”
ซูจิ่นซียิ่งเงียบ นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“จริงหรือ? ”
กลับไม่คิดว่า รอยยิ้มของซูจิ่นซีในครั้งนี้กลับเย็นยะเยือกมากกว่าแววตาของนางก่อนหน้านี้เสียอีก ชิงอวิ๋นจื่อขาอ่อนระทวยแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
เขากลืนน้ำลายเอือกใหญ่ เหยียดหลังให้ตรงที่สุดทำให้ตนเองดูแข็งแกร่ง พลางเงยหน้ามองสบสายตาของซูจิ่นซี
“ใช่… ใช่! ” ทว่าเมื่อเปล่งเสียงออกมา น้ำเสียงกลับแหบห้าวแปลกประหลาดฟังไม่ได้ศัพท์
“อุบ! ” ตงหลิงหวงและมู่หรงฉีแอบหัวเราะ
จากนั้นองครักษ์วิหารวิญญาณก็หัวเราะเช่นกัน
แก้มของชิงอวิ๋นจื่อแดงก่ำ แทบจะหมดกำลังใจ ทว่าเขาต้องยืนหยัดเพื่อหนทางรอดเดียว จึงยืดคอแข็งทื่อราวกับไก่ชน
“หัวเราะ! หัวเราะเรื่องอันใด? ที่นี่สำนักกระบี่คุนหลุน! ”
“โอ้ กฎสำนักกระบี่คุนหลุนข้อใดบอกว่าไม่อนุญาตให้หัวเราะ? ” น้ำเสียงของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยอย่างชัดเจน “ศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทุกท่าน ข้าเป็นคนนอก ทว่าพวกท่านทราบดี กฎของสำนักมีกฎดังกล่าวหรือไม่? ”
“…”
บรรดาลูกศิษย์กลัวว่าพวกเขาอาจทำอันใดผิดพลาด ซูจิ่นซีจึงหันไปสนใจพวกเขา ใครจะกล้าพูดอันใดอีก?
ชิงอวิ๋นจื่อชี้หน้าซูจิ่นซีอย่างบ้าคลั่งและพูดกับเหล่าลูกศิษย์ว่า “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่านเลอะเลือนไปแล้วหรือ? นางมารร้ายเบื้องหน้าทุกท่าน สมรู้ร่วมคิดกับศัตรู บุกเข้ามายังเขาคุนหลุนของเรา เข่นฆ่าพี่น้องของเรา พวกท่านเป็นอันใดไปแล้ว? ชักกระบี่ของพวกท่านออกมา สังหารนาง สังหารนาง! ”
ชิงอวิ๋นจื่อพูดจบก็เหมือนคนคลุ้มคลั่ง เขาวิ่งไปชักกระบี่ในมือศิษย์คนหนึ่ง
ทว่าในเวลานี้ ผู้ใดจะกล้าชี้กระบี่ไปทางซูจิ่นซี?
กระบี่ยาวที่ชักขึ้นมาตกลงลงบนพื้นทีละเล่มเสียงดัง ‘เคร้ง เคร้ง’
ชิงอวิ๋นจื่อยังแผดเสียงดัง “หยิบขึ้นมา หยิบกระบี่ของเจ้า ฆ่า ฆ่า ฆ่านางมารร้ายตนนี้! ”
ผลแพ้ชนะชัดเจน ชิงอวิ๋นจื่อกำลังดิ้นรนเอาตัวรอดครั้งสุดท้ายเหมือนตัวตลกที่กระโดดบนคานไม้
ซูจิ่นซีเหลือบมองศิษย์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และมองชิงอวิ๋นจื่อราวกับว่านางกำลังดูสุนัขโดนน้ำร้อนลวก “ศิษย์เหล่านี้ล้วนยอมรับว่าพวกเขามองผิดเองในตอนนั้น ทว่าเจ้ากลับกล่าวหาว่าข้าเป็นนางมารร้ายบ้าง สมรู้ร่วมคิดกับศัตรูบ้าง ใส่ร้ายป้ายสีอาจารย์ แม้สำนักกระบี่คุนหลุนจะไม่จัดการเจ้า ทว่าสำนักแพทย์เทียนอีของข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า! ”
นางพูดพลางยกเสียงสูงขึ้นอีกเล็กน้อย “ผู้อาวุโสเสวียนชิง ท่านจะจัดการลูกศิษย์ของท่านเองหรือจะให้ข้าช่วยจัดการให้? ”
ซูจิ่นซีต้องการให้เสวียนชิงตัดสินใจ