สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1039 บันไดสวรรค์สำนักแพทย์เทียนอี
ตงหลิงหวงไม่กล้าตอบ ไม่กล้าส่งเสียง กลัวว่าตนเองขยับเพียงเล็กน้อยจะทำให้มู่หรงฉีมองออกว่าในใจนางก็อาลัยอาวรณ์เช่นเดียวกัน
มู่หรงฉีพูดจบอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้รับคำตอบจากตงหลิงหวง จึงหันหลังเดินจากไปทีละก้าว
จนกระทั่งมู่หรงฉีเดินไปไกลจนลับสายตา ตงหลิงหวงจึงหันหลังกลับมาทันที และวิ่งไปจับประตูเพื่อมองจากระยะไกล น่าเสียดายที่มู่หรงฉีหายไปนานแล้ว
นางจับเสาประตูไว้แล้วค่อยๆ ทรุดนั่งชันเข่าบนพื้น ฝังศีรษะไว้ระหว่างหัวเข่าทั้งสองข้างและร้องไห้ออกมาเบาๆ
บนโลกนี้ มีได้ย่อมมีเสีย มีพบย่อมมีจาก
บางคนได้รับบางอย่างที่ลิขิตไว้ตั้งแต่เกิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์เลือก
จนกระทั่งออกเดินทาง มู่หรงฉีก็ยังไม่เห็นตงหลิงหวง
จากกันครั้งนี้ เป็นตายไม่แน่นอน ไม่รู้จะได้พบกันอีกเมื่อไร
บางทีนี่อาจเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดระหว่างพวกเขา
ก่อนออกเดินทาง อวิ๋นจิ่นกล่าวลาเยี่ยโยวเหยาโดยบอกว่าจะล่วงหน้าไปที่หุบเขาเทียนอีก่อน เพื่อเตรียมความพร้อม ดังนั้นการเดินทางครั้งนี้มีเพียงเยี่ยโยวเหยา มู่หรงฉี อู๋จุน และถังเสวี่ย
หลังจากนั้นเจ็ดวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงด้านนอกหุบเขาเทียนอี เทพโอสถสำนักสาขาสมุนไพรหุบเขาเทียนอี และหมอเทวดาสำนักสาขาแพทย์ออกมาต้อนรับทุกคนด้านนอกหุบเขาเทียนในตอนเช้า เมื่อเห็นรถม้าของเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ จากระยะไกล ทั้งสองจึงรีบเข้าไปต้อนรับ
รถม้าหยุดนิ่งตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง
“เทพโอสถสำนักสาขาสมุนไพรหุบเขาเทียนอี… ”
“หมอเทวดาสำนักสาขาแพทย์หุบเขาเทียนอี… ”
“ท่านเจ้าสำนักมีคำสั่งให้มาต้อนรับทุกท่าน โยวอ๋อง แม่นางซู ฉีอ๋อง เจ้าหุบเขาอู๋ แม่นางถังเสวี่ย พวกเราพบกันอีกครั้งแล้ว”
ทั้งสองยิ้มอย่างเป็นมิตร
“พูดได้ดี พูดได้ดี! ” มู่หรงฉีและอู๋จุนแย้มยิ้ม ถังเสวี่ยมีสีหน้าสดใส เยี่ยโยวเหยาเป็นคนเดียวที่นั่งอยู่ในรถม้าด้วยท่าทีนิ่งเฉย ไม่มีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าตราบใดที่เยี่ยโยวเหยาไม่มีความสุข ในใจอู๋จุนยิ่งรู้สึกดีมาก
ผู้คนบนโลกนี้ล้วนประจบประแจงเยี่ยโยวเหยา เว้นไว้เพียงคนจากสำนักแพทย์เทียนอีแห่งนี้!
แม่นางซู…
ไม่มีผู้ใดบนโลกไม่รู้ว่าซูจิ่นซีเป็นพระชายาของเยี่ยโยวเหยา ผู้อื่นเรียกพระชายาโยวอ๋อง ทว่าเทพโอสถและหมอเทวดากลับเรียกนางว่าแม่นางซู เห็นได้ชัดว่ากำลังปกป้องเจ้าสำนักของเขา และเห็นได้ชัดว่าพูดเช่นนี้ ทำให้เยี่ยโยวเหยาหงุดหงิดใจมาก
อู๋จุนหัวเราะลั่น “เยี่ยโยวเหยา พวกเขาออกมาทักทายพวกเราแล้ว เจ้าจะไม่ออกมากล่าวทักทายหรือ? ”
“…” คนในรถม้ายังคงเงียบ
มู่หรงฉีและถังเสวี่ยค่อยๆ เข้าใจสถานการณ์ พวกเขายิ้มแห้งๆ เพื่อยับยั้งการแสดงออกบนใบหน้าที่มากเกินไป กลับมีอู๋จุนเพียงผู้เดียวที่หัวเราะอย่างเริงร่ายิ่งขึ้น
ทว่าเทพโอสถและหมอเทวดาไม่กลัว “ข้างหน้าเป็นบันไดไปสู่สำนักแพทย์เทียนอีของพวกเรา รถม้าไม่สามารถผ่านได้ ขอเชิญทุกท่านลงมาจากรถแล้วเดินเท้าขึ้นไปเถิด”
มู่หรงฉี อู๋จุน และถังเสวี่ยจึงลงจากรถ เยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีนั่งอยู่ในรถม้า เทพโอสถและหมอเทวดาทราบสถานการณ์ของซูจิ่นซีจึงรีบไปช่วย กลับไม่คิดว่าเยี่ยโยวเหยาจะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา ลำดับแรก เขาพยุงซูจิ่นซีไปที่ขอบรถม้า จากนั้นกระโดดลงจากรถ อุ้มซูจิ่นซีขึ้นแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ทว่าเทพโอสถและหมอเทวดาไม่เคยเก็บมาใส่ใจ พวกเขายิ้มให้กันแล้วรีบเดินไปด้านหน้าเพื่อนำทางทุกคน
เดินไปได้ประมาณยี่สิบก้าว เทพโอสถก็ชี้ไปที่บันไดหินด้านซ้ายมือแล้วกล่าวว่า “ทุกท่าน นี่คือบันไดหินซึ่งนำไปสู่สำนักแพทย์เทียนอี เดินขึ้นบันไดหินนี้ไปก็เป็นประตูหลักของสำนักแพทย์เทียนอี”
“ว้าว… โอ้ พระเจ้า… ” อู๋จุนอดอุทานไม่ได้
สีหน้าถังเสวี่ยและมู่หรงฉีแสดงถึงความประหลาดใจ เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
พวกเขาเห็นเพียงบันไดหินแต่ละขั้น เริ่มจากใต้เท้าทอดยาวทะลุก้อนเมฆ ปลายสุดของบันไดเมฆทะลุผ่านก้อนเมฆมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
“นี่คือบันไดสวรรค์ของหุบเขาเทียนอี ข้าเห็นทิวทัศน์งดงามใต้หล้านับไม่ถ้วน กลับไม่เคยเห็นทัศนียภาพมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน เกรงว่าสามารถมองเห็นภาพนี้ได้ที่สำนักแพทย์เทียนอีเท่านั้น” มู่หรงฉีกล่าว
เทพโอสถและหมอเทวดามีสีหน้าภาคภูมิใจ
ดวงตาราวกับระฆังทองแดงของถังเสวี่ยจ้องมองรอบด้าน “นี่ต้องใช้กำลังคนและทรัพยากรจำนวนเท่าไร วิชากลไกสำนักถังของข้าในโลกนี้ไม่มีผู้ใดเทียบ เห็นเงินบนโลกจำนวนมากมาย ทว่าหากจะสร้างทางเช่นนี้แน่นอนว่าต้องเสียเวลาเป็นร้อยๆ ปี”
กลับไม่คิดว่าอู๋จุนจะเปลี่ยนเรื่องและด่าอย่างกะทันหัน “ว่าแต่ เจ้าสำนักของพวกท่านสมองป่วยหรือ? ”
เทพโอสถและหมอเทวดาสีหน้าไม่พอใจทันที
อู๋จุนกล่าวต่อว่า “ไม่ใช้บันไดยกสำนักถังเหมินของข้า ทว่าดันใช้บันไดหินอันใดนี่ ข้าว่าไม่ใช่เจ้าสำนักคนปัจจุบันสมองป่วยก็เป็นเจ้าสำนักคนก่อนสมองป่วย ไม่ใช่เจ้าสำนักคนก่อนสมองป่วยก็เป็นเจ้าสำนักคนก่อนๆ สมองป่วย ไม่ใช่เจ้าสำนักคนก่อนๆ ๆ สมองป่วยก็เป็นเจ้าสำนักคนก่อนๆ ๆ ๆ สมองป่วย ไม่ใช่พวกเจ้า… ”
“เจ้าหุบเขาอู๋ โปรดสำรวมวาจาของท่านด้วย ที่นี่คือสำนักแพทย์เทียนอี” เทพโอสถกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
หมอเทวดากล่าวต่อ “หากหยาบคายกับสำนักแพทย์เทียนอีอีกครั้ง อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
อู๋จุนกลอกตาเย็นชา “ไม่ได้พูดถึงพวกท่าน พวกท่านกังวลอันใด”
เทพโอสถและหมอเทวดาสำลักทันที ทว่ารีบกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ข้าคือลูกศิษย์สำนักแพทย์เทียนอี หากเมินเฉยต่อผู้ที่หยามเกียรติสำนัก ถือเป็นความอัปยศของลูกศิษย์”
พูดจบ เทพโอสถย้ำอีกประโยคว่า “เจ้าหุบเขาอู๋ พวกท่านล้วนเป็นแขกของเจ้าสำนัก ข้าเป็นลูกศิษย์ ควรปฏิบัติต่อกันอย่างสุภาพและไม่ควรไม่พอใจพวกท่าน ทว่าหากพวกท่านหยามเกียรติสำนักแพทย์เทียนอี หึ! ก็อย่าโทษที่เหล่าลูกศิษย์ไร้มารยาท”
“โอ๊ะ อารมณ์รุนแรงเชียว… ”
อู๋จุนยังอยากพูดบางอย่าง ทว่ากลับถูกมู่หรงฉีลากไป “เงียบได้แล้ว อย่าลืมว่าพวกเราเดินทางมาเพื่ออันใด! ”
อู๋จุนเงียบปากและเหลือบมองซูจิ่นซีที่เยี่ยโยวเหยาอุ้มอยู่ด้านหลังและกล่าวว่า “เห็นแก่สถานะของแม่นางพิษน้อย ข้าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเจ้า เชิญนำทางไป”
ท่าทางของเทพโอสถและหมอเทวดาดูไม่เป็นมิตรเหมือนตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาเดินนำหน้า “ทุกท่าน เชิญเถิด! ”
มู่หรงฉีเป็นห่วงเยี่ยโยวเหยาเล็กน้อย “โยวอ๋อง ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นพวกเราค่อยคิดวิธีอื่น” อย่างไรแล้ว หลังถอนพิษ ร่างกายของเยี่ยโยวเหยายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
“ไม่เป็นไร! ”
ทว่ามู่หรงฉียังคงกังวลใจเล็กน้อย “ไม่อย่างนั้น ข้าอุ้มจิ่นซีแทน! ”
“ไม่ต้อง! ”
เขาพูดพลางเดินไปอยู่ด้านหน้าสุด
มู่หรงฉีถามเทพโอสถและหมอเทวดาว่า “ขอเรียนถามผู้อาวุโสทั้งสองท่าน หุบเขาเทียนอีแห่งนี้ยังมีวิธีอื่นเพื่อขึ้นไปสำนักแพทย์เทียนอีกหรือไม่? พระชายาโยวอ๋องป่วยหนัก โยวอ๋องร่างกายบาดเจ็บ เกรงว่าจะเดินขึ้นบันไดสวรรค์ไม่ได้! ”
เทพโอสถพูดอย่างเย็นชาด้วยท่าทีเฉยเมย “มีเพียงเส้นทางนี้เส้นทางเดียวเท่านั้น! ”
หมอเทวดายังกล่าวว่า “ขึ้นไม่ได้หรือจะไม่ขึ้นก็ได้! ฉีอ๋อง ข้ารู้ว่าพวกท่านมาสำนักแพทย์เทียนอีเพื่อรับการรักษา ทว่าสำนักแพทย์เทียนอีไม่ใช่ว่าผู้ป่วยทุกคนจะได้รับการรักษา หากพวกท่านไม่ขึ้นไปก็ให้ผู้อื่นรักษาเถิด”
ถังเสวี่ยกระทืบเท้ารุนแรง “พวกท่านทำเช่นนี้ได้อย่างไร! พวกท่าน… ” ถังเสวี่ยยังอยากเถียงพวกเขา ทว่าถูกมู่หรงฉีดึงไปด้านหลังและส่งสัญญาณบอกให้เงียบได้แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านทั้งสองนำทางไปเถิด! ”
เทพโอสถและหมอเทวดาเดินนำอยู่หน้าสุด เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีอยู่ด้านหลัง มู่หรงฉีคอยช่วยพยุงอยู่ด้านข้าง ทว่ากลับช่วยอันใดไม่ได้มากนัก