สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1042 ถังเป่าอวี้ข้ารักเจ้ามาก
“เพคะ” ซูจิ่นซีพยักหน้า ค่อยๆ ยื่นมือออกไปแตะแก้มที่ซีดขาวของเยี่ยโยวเหยา “เพิ่งถอนพิษ เหตุใดถึงทำให้ตนเองอาเจียนเป็นเลือดอีก เยี่ยโยวเหยา เมื่อใดท่านจะทำให้ข้าวางใจได้บ้าง? ”
“เรื่องเล็กน้อย ข้ายังทนไหว” ขณะที่พูด ใบหน้าของเขาพลันปรากฏความเย็นชา “ซูจิ่นซี กลับเป็นเจ้ามากกว่า เจ้ายังพูดว่าข้าอีก แล้วเมื่อใดเจ้าจะทำให้ข้าวางใจได้บ้าง”
ซูจิ่นซียกยิ้มเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดตอบ นิ้วมือที่ลูบไล้แก้มของเยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เลื่อนไปที่ริมฝีปากของเขา และป้อนยาบำรุงให้เขาอย่างเงียบงัน
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงครู่หนึ่ง เขามองไปที่ดวงตาจริงจังของซูจิ่นซีและเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกินยาเม็ดที่นิ้วมือของซูจิ่นซี
มู่หรงฉี อู๋จุน และถังเสวี่ยตื่นเต้นมากเมื่อเห็นซูจิ่นซีฟื้นขึ้นมา ทว่าเมื่อเห็นภาพนี้ พวงแก้มของถังเสวี่ยก็แดงระเรื่อ นางปิดตาตนเองและหันหน้าไปทางอื่น
อู๋จุนขมวดคิ้วอย่างแรง เขากระโดดไปด้านข้างและนั่งยองๆ โดยไม่พูดสิ่งใด มู่หรงฉีเอียงตัวเล็กน้อยและกระแอมเบา ๆ
จากนั้นซูจิ่นซีถึงสังเกตเห็นพวกเขาทั้งสาม “เสด็จพี่… ”
มู่หรงฉีรีบมาข้างกายเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซี “จิ่นซี เจ้าฟื้นแล้วหรือ? รู้สึกอย่างไรบ้าง? ”
“ดีขึ้นบ้างแล้ว! ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองอู๋จุนและถังเสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลนักและถามว่า “แล้วคนที่เหลืออยู่ที่ใด? ”
มู่หรงฉีอธิบาย “ตงหลิงหวงกลับแคว้นตงเฉิน เสด็จพ่อและเสด็จแม่ไม่ควรเดินทางไกล ข้าจึงขอให้ซูอวี้พาพวกเขาไปส่งที่แคว้นหนานหลี ส่วนฮูหยินเป่ยถังกลับแคว้นเป่ยอี้ เพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมที่จวนเป่ยอี้อ๋อง ”
ซูจิ่นซีพยักหน้า สติของนางดูพร่ามัวเล็กน้อยและค่อยๆ หลับตาลง “เช่นนั้นก็ดี! ”
เมื่อเห็นสีหน้าซูจิ่นซีไม่สู้ดีนัก อู๋จุนกระวนกระวายเล็กน้อย เขากระโดดไปที่ด้านข้างซูจิ่นซีและขมวดคิ้วแน่น “มู่หรงฉี เป็นความผิดของเจ้าทั้งหมด ให้ซูอวี้ไปส่งพวกเขา หากเขาอยู่ที่นี่ เขาก็สามารถช่วยดูอาการแม่นางพิษน้อยได้”
มู่หรงฉีพูดว่า “ที่นี่เป็นเขตแดนของสำนักแพทย์เทียนอี มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เรียกใช้ได้ทันที เจ้ากลัวว่าจะไม่มีใครตรวจชีพจรให้จิ่นซีหรือ? ” เขาพูดพลางเหลือบมองไปที่เทพโอสถและหมอเทวดา
หมอเทวดารีบเข้ามาตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี
หมอเทวดาตรวจอยู่นาน สีหน้าผิดปกติเล็กน้อย ทว่ายังไม่พูดอันใดออกมา
“เป็นอย่างไร” มู่หรงฉีถาม
หมอเทวดาเหลือบมองมู่หรงฉีและส่ายศีรษะเล็กน้อย
“เจ้าส่ายศีรษะเรื่องอันใด? แม่นางพิษน้อยเป็นอย่างไรกันแน่? เจ้าพูดภาษาคนก็ได้! ” อู๋จุนพูดด้วยท่าทีกังวล
หมอเทวดาปล่อยมือซูจิ่นซี พลางสะบัดแขนเสื้อใส่อู๋จุนและหันศีรษะกระชากเสียงเย็นชา
“เฮ้ ตาเฒ่า ข้าพูดกับเจ้า เหตุใดถึงอารมณ์ร้ายเช่นนี้? ” อู๋จุนต้องการโต้เถียงกับหมอเทวดา ทว่ามู่หรงฉีฉุดอู๋จุนออกไปด้านข้าง “เจ้าพูดให้น้อยหน่อย! ”
จากนั้นจึงสอบถามหมอเทวดาด้วยท่าทางนอบน้อมว่า “ผู้อาวุโส อาการของน้องสาวข้าเป็นอย่างไร? โปรดบอกความจริงกับข้าเถิด”
ท่าทีของหมอเทวดาที่มีต่อมู่หรงฉีค่อนข้างดี ทว่าเมื่อเขาพูดถึงอาการของซูจิ่นซี เขากลับมีท่าทีเศร้าโศกเล็กน้อย “ร่างกายของแม่นางซูสูญเสียพลังไปมาก… อธิบายยากยิ่งนัก หากทุกคนพักเรียบร้อยแล้ว พวกเรารีบเดินทางเถิด พวกท่านรอได้ ทว่าร่างกายของแม่นางซูอาจรอไม่ไหว! ”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้! ” ถังเสวี่ยแทบจะร้องไห้
มู่หรงฉีกับอู๋จุนนิ่งเงียบและไม่พูดอันใด เยี่ยโยวเหยารีบอุ้มซูจิ่นซีและเดินทางต่อไป
“เฮ้อ! ”
หมอเทวดาถอนหายใจอย่างหนัก ในจังหวะที่ไม่มีใครเห็น เขาใช้ผีเสื้อส่งสารส่งจดหมายไปถึงจิ่วหรงที่ตำหนักเซียนหลิน
ตำหนักเซียนหลิน
จิ่วหรงกำลังเล่นพิณอยู่บนหอดูดาว ส่วนจิ้งจอกเก้าสียังคงวางศีรษะบนตักของจิ่วหรง แกว่งหางยาวทั้งเก้าของมันไปมาเหมือนพัดโบก
ผีเสื้อสีแดงค่อยๆ บินเข้ามาหาและร่อนลงบนพิณของจิ่วหรง หางที่แกว่งไปมาของจิ้งจอกเก้าสีหยุดกะทันหัน จากนั้นจึงหดหางกลับอย่างรวดเร็วและลุกขึ้นมองจิ่วหรงด้วยดวงตาที่ซับซ้อน
เสียงพิณของจิ่วหรงหยุดลง เขามองไปที่ผีเสื้อส่งสารเป็นเวลานาน จากนั้นจึงยกมือขึ้นโบก ผีเสื้อส่งสารตัวนั้นก็กลายเป็นข้อความสองบรรทัดและปรากฏขึ้นกลางอากาศ
จิ่วหรงมองเห็นได้ชัดเจนทันที ใบหน้าหล่อเหลาคมสันที่เป็นกังวลแต่เดิมก็ยิ่งทุกข์ใจมากขึ้นไปอีก
“จี๊ด… จี๊ด… จี๊ด”
คุณชาย อาการของนางแย่มาก
คุณชาย… หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่านางจะทนไม่ไหว การทดสอบเยี่ยโยวเหยาเป็นสิ่งสำคัญ ทว่าร่างกายของนางก็สำคัญมากเช่นกัน!
คุณชาย คุณชาย…
จิ้งจอกเก้าสีร้องเสียงดังและดึงแขนเสื้อของจิ่วหรงด้วยกรงเล็บเล็กๆ ของมัน
จิ่วหรงมองท่าทางของจิ้งจอกเก้าสี ความไม่เต็มใจและท่าทีหมดความอดทนไม่ได้ปกปิดจากเจ้าจิ้งจอกเก้าสีแม้แต่น้อย การแสดงออกทุกอย่างของเขาปรากฏบนใบหน้า
“จี๊ด… จี๊ด… จี๊ด”
คุณชาย ท่านก็ทนเห็นเจ้านายน้อยทนทุกข์ไม่ได้เหมือนกันใช่หรือไม่? จิ้งจอกเก้าสีก็เหมือนกัน คุณชายรีบไปหาเจ้านายน้อยเถิด!
“จี๊ด… จี๊ด… จี๊ด”
ไม่รู้ว่าเจ้าเก้าสีมีพละกำลังมากตั้งแต่เมื่อใด มันฉุดกระชากจิ่วหรงออกจากที่นั่ง จิ่วหรงดึงแขนเสื้อออกจากอุ้งเท้าเล็กๆ ของจิ้งจอกเก้าสี แล้วใช้มือลูบหัวจิ้งจอกเก้าสีเบาๆ
“เช่นนั้น… เจ้าก็ไปช่วยพวกเขา! ”
“จี๊ด… จี๊ด… จี๊ด”
จิ้งจอกเก้าสีราวกับถูกกระตุ้นด้วยอันใดบางอย่าง ดวงตากลมราวกับองุ่นสีม่วงสว่างขึ้นในทันที จากนั้นมันก็พุ่งตัวออกไปจากตำหนักเซียนหลินด้วยความเร็วดั่งลูกศร
จิ่วหรงเหลือบมองออกไปนอกประตู จิ้งจอกเก้าสีหายตัวไปนานแล้ว เขาจึงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้และแอบพึมพำเบาๆ “สัตว์น้อยว่องไวมากจริงๆ ดูเหมือนว่าคงอยู่กับซีเอ๋อร์นานเกินไป มันคงลืมไปแล้วว่าข้ายังเป็นเจ้านายมันอยู่ครึ่งหนึ่ง ข้ายังพูดไม่จบเลย! ”
ระหว่างทางบนบันไดสวรรค์ เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ ยังเดินไปข้างหน้าทีละก้าวอย่างต่อเนื่อง
แม้แต่ร่างกายของมู่หรงฉี อู๋จุน และถังเสวี่ยที่เป็นปกติ การก้าวเดินขึ้นบันไดในเวลานี้ยังยากลำบากจนพวกเขาเหงื่อไหลท่วมตัว ไม่ต้องพูดถึงเยี่ยโยวเหยาซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าเขายังคงแบกซูจิ่นซี
ไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาอาเจียนเป็นเลือดไปแล้วกี่ครั้ง
ถึงตอนนี้ พวกเขาเดินมาได้เพียงครึ่งทาง
“บัดซบ! ” อู๋จุนเหลือบมองไปด้านบนสุดสายตาซึ่งอยู่ไกลจนมองไม่เห็นปลายทาง พลางสบถเสียงดัง “เจ้าคนแซ่จิ่วตั้งใจจะเอากันถึงชีวิตเชียวหรือ? ”
มู่หรงฉีกลัวเทพโอสถและหมอเทวดาจะได้ยินและทำให้พวกเขาโมโหได้ จึงรีบกดไหล่อู๋จุน
อู๋จุนกระชากเสียงเย็นชา “ข้ารู้จักประมาณตน”
ถังเสวี่ยเหนื่อยล้าจนเม็ดเหงื่อหยดลงจากหน้าผาก นางยกมือเท้าเอวอย่างเหนื่อยหอบ
“ไม่ไหวแล้ว ข้า… ข้าเดินไม่ไหวแล้ว! ”
อู๋จุนหันศีรษะเหลือบมองถังเสวี่ยด้วยความรังเกียจ ก่อนจะเหยียดแขนข้างหนึ่งไปทางถังเสวี่ย
ถังเสวี่ยมองไปอู๋จุนด้วยสีหน้าตื้นตันใจ
อู๋จุนมองหน้าถังเสวี่ยชั่วครู่หนึ่ง รู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย “เจ้าอึกอักทำอันใด? ”
“ฮือ ฮือ ฮือ ถังเป่าอวี้ ข้ารักเจ้าจะตายอยู่แล้ว” นางพูดพลางกระโดดเหมือนกระต่ายกอดแขนอู๋จุนไว้แน่น
อู๋จุนหันหน้ากลับมาและเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ พาถังเสวี่ยเดินขึ้นบันไดไปข้างหน้าต่อ
เหนื่อยมากจริงๆ ! ทว่าถังเสวี่ยยังไม่ยอมทิ้งน้ำหนักทั้งหมดของนางบนร่างอู๋จุน นางพยายามทำให้ร่างกายของนางเบาลงและพยายามเร่งเดินให้ทันอู๋จุน
ความใส่ใจและห่วงใยของอู๋จุนคือแรงผลักดันที่ดีที่สุดของนาง!
แม้ร่างกายของนางจะอ่อนล้าถึงขีดสุด ตราบใดที่อู๋จุนมองมาและแสดงท่าทางห่วงใย นางจะรู้สึกว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง
ทุกคนเดินอยู่ราวครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้น… จิ้งจอกเก้าสีก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน