สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1049 สังเกตคนนั้นเป็นใคร ทำสิ่งใด พูดสิ่งใด
ในฐานะผู้ปกครองแคว้น มู่หรงฉีชื่นชมเยี่ยโยวเหยามาก ไม่คิดว่าเขาจะสามารถวางแผนไว้ล่วงหน้าได้ถึงระดับนี้
ร่างกายซูจิ่นซีอ่อนแอมาก ครู่เดียวนางก็ผล็อยหลับไป
มู่หรงฉีวิเคราะห์และพูดว่า “ทุกคนพักผ่อนกันสักพัก หลับให้สบาย ข้าคิดว่าคนจากแคว้นไหวเจียงมาครั้งนี้ก็เพื่อสุสานจิ่นอีโหว พวกเขาไม่คิดจะลงมือกับพวกเราง่ายๆ แน่ จนกว่าพวกเขาจะพบทางเข้าสุสานจิ่นอีโหว ข้าคิดว่าพวกเรายังปลอดภัย”
เยี่ยโยวเหยา จิ่วหรง และอู๋จุนเห็นด้วยกับมุมมองของมู่หรงฉี
คืนนี้ทุกคนนอนหลับสบาย ไม่มีเรื่องเกิดขึ้นจริงตามคาด
เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนตื่นขึ้นและเร่งรีบเดินทางอีกครั้ง
เส้นทางบนเขาข้างหน้าคดเคี้ยวและขรุขระ สภาพเป็นป่าทึบ รถม้าจึงถูกทิ้งไว้ เปลี่ยนม้าดีให้ถังเสวี่ย เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีขี่ม้าตัวเดียวกัน ทุกคนเดินทางตามหาทางเข้าสุสานจิ่นอีโหวต่อ
ครั้นถึงเวลาเที่ยง เส้นทางในป่าเปลี่ยนไปอีกครั้ง เส้นทางป่าทึบยิ่งรกชัฏมากขึ้น ม้าเข้าไปไม่ได้เลย ทุกคนจึงตัดสินใจทิ้งม้าและเดินเท้าเข้าไป
“ข้าว่า ทำไมทางสายนี้ยิ่งเดินยิ่งยากลำบากมากขึ้น พวกเจ้าพามาผิดทางหรือไม่! ” อู๋จุนถาม
“ไม่ต้องกังวล ไม่ผิดแน่” ถังเสวี่ยตอบ
อู๋จุนเอ็ดด่าไปหนึ่งคำ “เด็กน้อยอย่างเจ้าจะไปรู้อันใด! ”
ถังเสวี่ยแลบลิ้นใส่อู๋จุน ทว่าไม่เถียงกลับ
อันที่จริงนางต้องการจะพูดว่า ‘เจ้าโง่ โยวอ๋องและคุณชายจิ่วไม่มีทางเอาชีวิตของคนที่พวกเขารักมาล้อเล่นแน่’
ทว่าคำพูดเช่นนี้ ถังเสวี่ยไม่มีทางพูดต่อหน้าเยี่ยโยวเหยากับจิ่วหรงแน่
มู่หรงฉีพูดเสริมว่า “ไม่น่าจะผิดทาง หากพบได้ง่าย แสดงว่าไม่ใช่สุสานจิ่นอีโหวกระมัง”
จิ่นอีโหวแห่งราชวงศ์โจวตะวันตก กรำศึกมาทั้งชีวิต รุ่งโรจน์เกรียงไกร หลังตายแล้วย่อมต้องหาสถานที่สงบไร้คนรบกวนสุสาน ยิ่งไม่ต้องการให้คนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสุสาน คนชั้นปกครองที่ระแวดระวังเช่นนี้ หากต้องการสร้างสุสานสักแห่ง ไม่มีทางใช้สถานที่ที่คนอื่นหาพบได้โดยง่ายแน่
ทุกคนเดินไปอีกสองสามชั่วยาม แม้พวกเขาจะเดินออกจากป่าทึบรกชัฏ ทว่ากลับเดินมาถึงขอบหน้าผา ข้างหน้าพวกเขามีเทือกเขาหลายลูกซ้อนสลับกันไม่มีที่สิ้นสุด ใต้เท้าของพวกเขาเป็นทะเลหมอกที่พลุ่งพล่าน มองไม่เห็นก้นหน้าผา
“ยังบอกว่าไม่ผิดทางอีก พวกเจ้าลองดู ทุกคนเดินมาถึงสถานที่แห่งนี้ สุดทางแล้ว ใครจะสร้างสุสานตนเองขึ้นมาบนสถานที่เช่นนี้” อู๋จุนพูด
“ไม่ผิดแน่ ที่นี่คือที่ตั้งของทางเข้าสุสานจิ่นอีโหวแน่” เยี่ยโยวเหยาพูดขึ้น
“ที่นี่? ที่ใดหรือ? ที่ใดหรือ? ใครเห็นบ้าง? ข้าไม่เห็นอันใดเลย” ไม่ต้องพูดถึงจิ่วหรงกับเยี่ยโยวเหยาที่ไม่มีทางล้อเล่นกับชีวิตของซูจิ่นซี อู๋จุนก็ไม่ต้องการ
ทว่าเขาไม่เข้าใจภาพภูเขาและแม่น้ำนั่น เขาจึงได้แต่พึ่งจิ่วหรงและเยี่ยโยวเหยาเท่านั้น
ไฟในใจของเขาพลุ่งพล่าน!
เดิมทีไฟในใจของเขาก็เดือดพล่านอยู่แล้ว ดันเพิ่มฟืนเข้าไปอีก
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้โกรธเคือง และพูดอย่างเป็นกันเองว่า “อยู่ข้างล่างนี้”
ชี้ไปที่ก้นหน้าผา
“ข้างล่างนี้ เช่นนั้นเราจะปีนขึ้นมาด้านบนเพื่ออันใด เหตุใดเราไม่เดินตรงเข้าไปใต้หน้าผาเลย” ถังเสวี่ยถาม
“ไม่น่าจะมีทางเดินไปก้นหน้าผาแน่ เจ้าลองมองรูปร่างของยอดเขาที่อยู่ตรงหน้า ภูเขาเรียงกันล้อมรอบหน้าผาด้านล่างไว้อย่างแน่นหนา ข้าคิดว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปถึงก้นหน้าผา” มู่หรงฉีอธิบาย
“ทว่าเราจะลงไปได้อย่างไร”
“มันยากหรือ? ” มู่หรงฉีมองไปที่จิ่วหรง
จิ่วหรงให้ความร่วมมือโดยปริยาย เขาโบกแขนเสื้อกว้างเล็กน้อย ปล่อยสัตว์เทพกิเลนออกจากแขนเสื้อ
ทันทีที่สัตว์เทพสัตว์เทพกิเลนปรากฏตัว มันก็กลายร่างเป็นสัตว์เทพตัวมหึมา ร่างของมันสามารถรองรับได้สี่หรือห้าคน ซึ่งเพียงพอสำหรับ มู่หรงฉี ถังเสวี่ย อู๋จุน และเยี่ยโยวเหยา
“สัตว์เทพกิเลน? ” ถังเสวี่ยแสดงสีหน้าประหลาดใจ “ใช่ สัตว์เทพกิเลนสามารถพาพวกเราลงไปข้างล่างได้”
“โยวอ๋อง ประคองจิ่นซีขึ้นก่อน! ” มู่หรงฉีกล่าว
เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า หาจุดที่ปลอดภัยบนหลังสัตว์เทพกิเลนและประคองซูจิ่นซีขึ้นบนหลังมัน
จากนั้นเยี่ยโยวเหยา ถังเสวี่ย และอู๋จุนก็นั่งลงเช่นกัน
หลังจากทุกคนนั่งเรียบร้อย สัตว์เทพกิเลนก็พาทุกคนลงไปที่ก้นหน้าผา
“จ๊าบ… ” ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องยาวของนกกระเรียนจากระยะไกล นกกระเรียน สัตว์พาหนะของจิ่วหรงบินมาจากระยะไกล จิ่วหรงกระโดดขึ้นบนหลังของนกกระเรียนและลงไปที่ด้านล่างหน้าผา
ด้านล่างหน้าผามีลักษณะปิดจริงๆ จุดที่ตั้งไม่ใหญ่มาก เห็นปลายทางรอบบริเวณได้ชัดเจน ไม่มีทางเข้าอื่นนอกจากด้านบนลงมาข้างล่าง
มู่หรงฉีเห็นสีหน้าของเยี่ยโยวเหยามีบางอย่างผิดปกติ จึงถามว่า “โยวอ๋อง มีสิ่งใดผิดปกติหรือ? ”
“ไม่มีอันใด” เยี่ยโยวเหยามองไปรอบๆ “ข้าเพียงเห็นว่าสภาพของสถานที่แห่งนี้โดยรอบ ดูเหมือนอีกสถานที่หนึ่ง”
“โอ้ ที่ใดที่มีโครงสร้างที่วิจิตรงดงามเช่นนี้หรือ? ”
“หุบผาราชันพิษ! ”
“หุบผาราชันพิษ? ”
สีหน้าของมู่หรงฉีเปลี่ยนไปทันที แม้เขาจะไม่เคยมาที่นี่ ทว่าเขารู้จักถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นไหวเจียง ปลายด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับอาณาจักรแคว้นไหวเจียง ในขณะที่ปลายอีกด้านหนึ่งนำไปสู่ดินแดนต้องห้ามสกุลจงแคว้นหนานหลี ซึ่งสร้างเป็นพระราชวังใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ
ตอนที่หุบผาราชันพิษถูกทำลาย เป็นฝีมือของซูจิ่นซี ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาพาซูจิ่นซีไปสำรวจหุบผาราชันพิษ ต่อมา กูสือซานจับซูจิ่นซีขังที่หุบผาราชันพิษ หลังเยี่ยโยวเหยาช่วยซูจิ่นซีออกมาได้ เขาก็ระเบิดทำลายหุบผาราชันพิษ
สถานที่แห่งนี้คล้ายกับหุบผาราชันพิษจริงๆ หรือว่าสถานที่แห่งนี้มีเรื่องลึกลับอันใดอีก?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จู่ๆ มู่หรงฉีก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทันใดนั้นเขาก็เพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น และคนอื่นดูเหมือนจะรู้สึกได้เช่นกัน
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ครืน’ พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือน ตามด้วยเสียง ‘ครืน’ ครั้งที่สอง พื้นดินยิ่งสั่นสะเทือนมากขึ้น
ขณะที่พื้นดินสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ร้ายขนาดมหึมาก็กระโดดออกมาจากโจมตีพวกเขา
“หลบ! ” อู๋จุนร้องตะโกน เขารีบคว้าถังเสวี่ยแล้วกลิ้งไปอีกทางหนึ่ง เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีและหลบอย่างรวดเร็ว จิ่วหรงและมู่หรงฉีหลบได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
สัตว์ร้ายมหึมาโจมตีไม่ถูกผู้ใด จึงไถลลื่นไปข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อย
“นี่คือตัวอันใด” อู๋จุนถาม
“อสูรสื่อหมอ” จิ่วหรงตอบ
“เป็นที่นี่แน่นอน” มู่หรงฉีพูด
อสูรสื่อหมอส่วนมากใช้เพื่อปกป้องสุสาน ที่ใดมีมัน ที่นั่นย่อมมีสุสาน และสัตว์อสูรชนิดนี้มีพลังจิตวิญญาณแข็งแกร่ง และไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะควบคุมได้ คนที่สามารถกำราบสัตว์อสูรตัวนี้และใช้มันปกป้องสุสานต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่
ทว่าสิ่งสำคัญก็คือ การโจมตีของมันก้าวร้าวดุดันมาก ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับมือได้
ทั้งทรงพลัง ทั้งฉลาดปราดเปรียวอย่างมาก
เป็นจริงดั่งคาด อสูรสื่อหมอโจมตีไม่ถูกคน มันค่อยๆ หันร่างใหญ่ของมันกลับมา ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เยี่ยโยวเหยา จิ่วหรง อู๋จุน และมู่หรงฉี สังเกตคนนั้นเป็นใคร ทำสิ่งใด พูดสิ่งใด จากนั้นก็โจมตีมาทางเยี่ยโยวเหยา
ในบรรดาคนเหล่านี้ เยี่ยโยวเหยาอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ เพราะเขาต้องปกป้องซูจิ่นซีไปพร้อมกับปกป้องตนเอง