สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 35 ตอนที่ 1050 ทางใดถึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง
น่าเสียดายที่อู๋จุนกับมู่หรงฉีอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีค่อนข้างไกล ความรวดเร็วในการโจมตีของอสูรสื่อหมอนั้นรวดเร็วมาก ทุกคนคิดจะช่วยเยี่ยโยวเหยาก็คงจะไม่ทัน
เยี่ยโยวเหยาอุ้มซูจิ่นซีด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างถือกระบี่เสวียนหยวนด้วยแววตาเยือกเย็น พลางก้าวถอยหลังอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นก็มีเสียง “โฮก… ” สัตว์เทพกิเลนกระโดดออกมาจากด้านข้าง เข้ามาขวางด้านหน้าเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีไว้
เยี่ยโยวเหยาถอยไปหลายก้าว ก่อนจะยืนหยัดอย่างมั่นคง
จิ่วหรงและคนอื่นๆ รีบวิ่งเข้ามา “ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่? ”
เยี่ยโยวเหยาส่ายศีรษะ
ตัวเขาเองไม่เป็นอันใด เพียงกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปซูจิ่นซีจะทนไม่ไหวแน่
ในไม่ช้าสัตว์เทพกิเลนและอสูรสื่อหมอก็เข้าต่อสู้กัน ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายเทียบเท่ากัน
“เจ้ากิเลนน้อยตัวนี้เก่งเหมือนกันแฮะ” อู๋จุนพูด
“พวกเราไปช่วยเขากัน” มู่หรงฉีกล่าว
จิ่วหรงและอู๋จุนต่างพยักหน้า
จากนั้นทั้งสามคนก็หาจังหวะที่เหมาะสม ก่อนจะกระโดดขึ้นและเข้าไปโจมตีอสูรสื่อหมอพร้อมๆ กัน
เยี่ยโยวเหยายื่นซูจิ่นซีให้ถังเสวี่ยและเข้าไปช่วยต่อสู้เช่นกัน
มียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ กอปรกับพลังดุดันไร้เทียมทานของสัตว์เทพกิเลน ในไม่ช้าอสูรสื่อหมอก็ยอมแพ้และกลายร่างเป็นสัตว์เล็กน่ารักคล้ายกับสัตว์เทพปี่เซียะตัวจิ๋ว
อู๋จุนวางมันไว้ในอุ้งมือ ใช้นิ้วจิ้มศีรษะของมันไม่หยุด “ดุนักหรือ ไหนไม่ดุแล้วหรือ คิดจะโจมตีข้าหรือ ข้าจะเหยียบเจ้าให้แบน”
ถังเสวี่ยขมวดคิ้วอย่างรุนแรง “ถังเป่าอวี้ ท่านโหดร้ายเกินไป มันตัวเล็กน่ารักถึงเพียงนี้ เจ้าทำมันลงหรือ”
ถังเป่าอวี้ถลึงตาพลางแบะปากใส่ถังเสวี่ย “เจ้าจะไม่รู้สึกว่ามันน่ารัก หากเห็นว่าเมื่อครู่มันเกือบจะเขมือบเจ้า”
ถังเสวี่ยกลอกตาใส่อู๋จุน “คิดตื้นๆ ! ”
“พอแล้ว พวกเรารีบหาทางเข้ากันเถิด! ” มู่หรงฉีกล่าว
อู๋จุนถืออสูรสื่อหมอ เดี๋ยวดึงหัวมันเล่น เดี๋ยวเขี่ยก้นมัน จิ่วหรงยกแขนเสื้อกว้าง ทำให้อสูรร้ายกลายเป็นควันสีเขียวเข้าไปในกระบี่เสวียนหยวนในมือของเยี่ยโยวเหยา
อู๋จุนกล่าวทันที “มีสิทธิ์อันใด มีสิทธิ์อันใดเอาให้เขา? ”
“นอกจากใส่เข้าไปในกระบี่เสวียนหยวน เจ้ายังมีสถานที่อื่นขังมันอีกหรือ? ตอนนี้มันสูญเสียพลังจึงให้เจ้าบงการได้ เมื่อพลังของมันฟื้นฟูอีกครั้งจนกลับคืนร่างเดิม เจ้าคนเดียวจัดการมันได้หรือ? ”
ไม่ได้!
อู๋จุนขมวดคิ้วและไม่ได้ตอบ จิ่วหรงจึงไม่ได้สนใจอู๋จุนอีก และเริ่มตามหาปากถ้ำ
พื้นที่โดยรอบไม่ใหญ่มาก มองครู่เดียวก็เห็นทั้งหมด นอกจากนี้ยังไม่มีจุดใดเป็นพิเศษ มีเพียงวัชพืชรกชัฏ ท่ามกลางวัชพืชเหล่านั้นมีรูปปั้นสักการะตั้งตระหง่านและยังมีเสาหิน
สิ่งเหล่านี้เห็นได้ทั่วไปรอบสุสานโบราณ ไม่มีอันใดแปลกประหลาด
หลังจากทุกคนสำรวจรอบๆ ก็ให้ความสนใจรูปปั้นเหล่านั้น
รูปปั้นที่นี่เป็นสิงโต งู และช้าง ซึ่งเป็นรูปปั้นที่พบได้บ่อยในบริเวณสุสาน
ดูแล้ว หากต้องการหาทางเข้าสุสานคงต้องพึ่งรูปปั้นเหล่านี้เท่านั้น
หลังจากศึกษาอย่างละเอียด เยี่ยโยวเหยาพบว่ามีเพียงสิงโตตัวเล็กที่ขาสิงโตอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติ เขาลองขยับสิงโตตัวเล็กนั้น เป็นจริงดั่งคาด สิงโตน้อยสามารถหมุนได้
เมื่อหมุนสิงโตน้อยจนสุด พื้นที่โดยรอบและกำแพงหินรอบด้านก็เริ่มสั่นสะเทือน ในไม่ช้ากำแพงหินก็ปรากฏทางเข้าสามช่องทาง
ทุกคนมองด้วยความตกตะลึง
“โอ้สวรรค์ มีทางเข้าสามทาง ควรเลือกทางใด? ”
เยี่ยโยวเหยา จิ่วหรง มู่หรงฉี และอู๋จุน ทุกคนต่างนิ่งเงียบไม่พูดจา ทางเข้าสามทาง หมายความว่ามีสามเส้นทางอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทว่าทางเข้าทั้งสามนี้มีเพียงเส้นทางเดียวที่ถูกต้อง หากเลือกผิด ผลที่ตามมาคงเลวร้ายเกินคาดเดา
แล้วทางไหนถึงจะเป็นทางที่ถูกต้องกันแน่?
“ข้าคิดว่าพวกเราแยกกันเข้าไป หนึ่งคนต่อหนึ่งเส้นทางก็พอแล้ว” อู๋จุนเสนอแนะ
มู่หรงฉีปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้ แล้วคนที่เลือกทางผิดจะทำอย่างไร? ” ไม่อาจเอาชีวิตคนไปล้อเล่นได้
“แล้วจะทำอย่างไร? หากทุกคนเข้าประตูเดียวกัน เกิดเลือกผิดก็ไม่อาจกลับออกมาได้ การสูญเสียยิ่งมากกว่าอีก”
“ไม่ได้ มันต้องมีหนทาง แม้จะมีสามประตู ทว่าจะต้องมีวิธีหาเส้นทางที่ถูกต้อง”
มู่หรงฉีพูดพลางเริ่มหาช่องโหว่บนรูปปั้นเหล่านั้นต่อ
ทว่าก่อนหน้านั้น พวกเขาสำรวจรูปปั้นอย่างละเอียดหลายรอบแล้ว และไม่พบเบาะแสใดๆ ที่จะช่วยให้พวกเขาเลือกทางเข้าที่ถูกต้องได้
เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน จิ่วหรง และถังเสวี่ยเริ่มค้นหาอีกครั้ง
ราวสิบห้านาทีต่อมา จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็ชี้ไปที่ประตูทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ทางนี้ถูกต้อง” เขาพูดพลางอุ้มซูจิ่นซีเดินเข้าไปในประตูนั้น
อู๋จุนกล่าว “เจ้ามีสิทธิ์อันใดบอกว่าประตูนั้นถูกก็คือถูก? เหตุใดต้องฟังเจ้า เจ้าควรบอกเหตุผลบ้างไม่ใช่หรือ? ” เยี่ยโยวเหยาไม่ได้สนใจอู๋จุน ยิ่งไม่รีรอ อู๋จุนยังพูดไม่ทันจบ เขาก็วิ่งเข้าไปแล้ว
จิ่วหรงเดินตามเยี่ยโยวเหยาเข้าไปโดยไม่ลังเล
มู่หรงฉีก็ไม่สามารถวิเคราะห์เหตุผลที่เยี่ยโยวเหยาเลือกประตูบานนั้นได้ ทว่าก็ตามเข้าไปแล้ว
ถังเสวี่ยกล่าวว่า “ไปเถิด! ซูจิ่นซีก็เข้าไปแล้ว เยี่ยโยวเหยาไม่มีทางเอาชีวิตซูจิ่นซีมาล้อเล่นแน่”
หลังเข้ามาก็พบทางแคบและยาวเส้นหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้คนบุกรุก ปกติทางเดินประเภทนี้จะมีกลไกหรือพวกอาวุธลับซุกซ่อนอยู่ แม้กระทั่งสิ่งมีพิษ
โชคดีที่เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ มีความระแวดระวังตั้งแต่แรกจึงแก้ไขกลไกได้สำเร็จ ส่วนสารพิษ อู๋จุนและซูจิ่นซีเป็นปรมาจารย์ด้านพิษอยู่แล้ว แม้ซูจิ่นซีจะบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถใช้ระบบถอนพิษได้ ทว่าตัวนางไวต่อสารพิษเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกได้ถึงสารพิษ นางจะรีบเตือนทันที
ความสามารถในการรับรู้สารพิษของอู๋จุนก็ไม่เบา แม้เคยพบจำพวกแมงมุมพิษและงูพิษมาบ้าง ทว่าสิ่งเหล่านี้เทียบไม่ได้กับพิษเหล่านั้นของแคว้นไหวเจียงซึ่งแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน และในไม่ช้าพวกเขาก็จัดการได้สำเร็จ
มู่หรงฉีถือกระบี่จัดการงูพิษตัวสุดท้ายแล้วพูดว่า “แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นกลอุบายเล็กๆ ทว่าทุกคนอย่าเพิ่งชะล่าใจ อย่างไรแล้วที่นี่ก็เป็นสุสานจิ่นอีโหว ต้องมีสิ่งอันตรายซ่อนอยู่อีกแน่ และต้องมีอันตรายที่ไม่รู้จักแฝงอยู่มากมาย”
เยี่ยโยวเหยาและจิ่วหรงพยักหน้าเห็นด้วย
ทุกคนใช้ไข่มุกราตรีส่องนำทางและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เดินไปได้สักระยะหนึ่ง แม้เส้นทางจะคดเคี้ยว ทว่าโชคดีที่ยังไม่พบอันตรายอื่นใด
ในที่สุดภาพตรงหน้าก็สว่างจ้า ปรากฏเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่
ตรงข้ามทางออกเป็นประตูหินบานใหญ่
ที่นี่น่าจะเป็นทางเข้าหลักของสุสาน ประตูทั้งบานตั้งอยู่บนบันไดหินยาวสูงราวสามเมตร กอปรกับประตูที่สูงราวสี่ถึงห้าเมตร และความสูงของพื้นที่ทั้งหมดราวเจ็ดถึงแปดเมตร
ทั้งสองข้างประตูมีเสาหินและสิงโตหินแกะสลัก บนคานประตูแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตรงดงามซึ่งแสดงถึงลักษณะอันสูงส่ง ทว่าเมื่อมองลงไปด้านล่าง…
“กรี๊ด… ” ทันใดนั้นถังเสวี่ยก็ร้องดังลั่นด้วยความตกใจ