สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1052 หากย้อนเวลากลับไปได้
“บัดซบ จิ่วหรงคิดจะทำอันใดกันแน่? ” อู๋จุนสบถอย่างรุนแรง
สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาดำทะมึน เขามองประตูสุสานที่ปิดลงด้วยสายตาเย็นชา
“โยวอ๋อง ซูจิ่นซีเล่า? ซูจิ่นซีไปที่ใดแล้ว? ” ถังเสวี่ยถามเยี่ยโยวเหยาด้วยใบหน้าเป็นกังวล
อู๋จุนกล่าวว่า “เจ้าตาบอดหรือ? ไม่เห็นหรือว่าจิ่วหรงพาแม่นางพิษน้อยหนีเข้าไปแล้ว! ”
“ข้าเห็นแล้ว! ” ถังเสวี่ยเอ่ย “ทว่าคุณชายจิ่วคิดจะทำอันใด? เหตุใดเขาถึงได้ขังพวกเราไว้ที่นี่แล้วพาแค่ซูจิ่นซีหนีไป? ”
“ในตอนนั้น จิ่วหรงเป็นคนสร้างสุสานโบราณแห่งนี้ด้วยตนเอง เขาคุ้นเคยกับที่นี่ที่สุด ตอนนี้เขาจงใจขังเราไว้ที่นี่ เกรงว่าหากพวกเราคิดจะออกจากที่นี่คงยาก”
“เช่นนั้นควรทำอย่างไร? ” ถังเสวี่ยเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
มู่หรงฉีก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงทำได้เพียงส่ายศีรษะ
จู่ๆ กูสือซานก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเจ้าสมรู้ร่วมคิดกันมิใช่หรือ? คุณชายจิ่วไปที่ใดแล้ว? เขาตั้งใจทิ้งพวกเจ้าไว้ให้ถ่วงเวลาพวกข้าเพื่ออันใดกันแน่? ”
อู๋จุนจ้องกูสือซานเขม็ง “ใช้สมองใคร่ครวญดูบ้างได้หรือไม่? ไม่ดูเสียหน่อยว่าตนเองคุ้มค่าพอให้พวกข้าเสียเวลาอยู่ที่นี่ ดูไม่ออกหรือว่าพวกข้าเป็นผู้เสียหายมากกว่า? ”
“เจ้า… ” กูสือซานกระฟัดกระเฟียดและกำลังจะลงมือกับอู๋จุน ทว่ากลับถูกหลานอวี่ปรามไว้
หลานอวี่ส่ายศีรษะให้กูสือซาน “เรื่องเร่งด่วนคือการหาทางออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เมื่อพบความลับของจิ่นอีโหวแล้วค่อยว่ากัน”
จากนั้นทุกคนจึงเริ่มหาทางออก ทุกคนแยกกันหาทาง ทว่าค้นหาอยู่นานก็ไม่พบเบาะแสใดๆ ที่นี่เป็นเพียงห้องศิลาธรรมดาห้องหนึ่ง นอกจากใช้ผนึกศิลาเทพคุนอวี้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีประโยชน์อื่นใด
ดูแล้วจุดประสงค์ที่จิ่วหรงพาพวกเขามาที่นี่ก็เพื่อรวบรวมพลังของทุกคนในการปลดผนึกศิลาคุนอวี้
ทว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือสิ่งใดกันแน่?
ศิลาเทพคุนอวี้นี้เป็นจริงดั่งที่เขาพูด ทว่ามันเป็นตัวกลางในการเปิดสุสานจิ่นอีโหวทั้งหมดหรือไม่?
ในใจของเยี่ยโยวเหยาและมู่หรงฉีมีแผนของตนเอง พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ดูผิวเผินแล้วไม่ง่ายดายเช่นนั้น
เช่นนั้น จิ่วหรงคิดจะทำอันใด?
เขาเพียงคนเดียวพาศิลาเทพคุนอวี้และซูจิ่นซีไปที่ใดกันแน่?
จิ่วหรงพยุงซูจิ่นซีเดินผ่านห้องศิลาห้องแล้วห้องเล่า ทุกครั้งที่ออกจากห้องศิลา ประตูจะปิดลงมาโดยอัตโนมัติ และตอนนี้ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ห่างจากเยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ ไกลมาก
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด ใบหน้าอ่อนล้ามองใบหน้างดงามหาผู้ใดเปรียบของจิ่วหรง
“จิ่ว… จิ่วหรง ท่านจะพาข้าไปที่ใด? พวกเยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ใด? ”
จิ่วหรงเหลือบมองซูจิ่นซีที่อยู่ในอ้อมแขนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “วางใจ พวกเขาจะไม่เป็นอันใด ไม่ต้องพูดแล้ว เก็บกำลังไว้ ข้าจะรวบรวมจิตวิญญาณของเจ้า กำจัดคำสาปเผ่าเม้ยบนร่างของเจ้าและพาเจ้าออกไปอย่างปลอดภัย เจ้าต้องเชื่อใจข้า”
“แล้วพวกเยี่ยโยวเหยาอยู่ที่ใดหรือ? ”
“พวกเขาจะไม่เป็นอันใดเช่นกัน! ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าจิ่วหรงไม่ทำร้ายผู้ใดแน่นอน
ทว่าเขาจะทำร้ายตนเองหรือไม่?
เพียงแต่เวลานี้ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจมากถึงเพียงนั้น ร่างกายของนางอ่อนแอถึงขีดสุด นางไม่ได้พูดอันใดสักประโยคกับจิ่วหรง สติของนางเริ่มพร่าเลือนอีกครั้ง
ท้ายที่สุด จิ่วหรงได้พาซูจิ่นซีไปยังห้องวางศพห้องหนึ่ง ห้องวางศพแห่งนี้สร้างขึ้นอย่างหรูหราโอ่อ่า มีเครื่องบรรณาการจำนวนมาก กำแพงรอบด้านแกะสลักด้วยลวดลายวิจิตรงดงามเช่นกัน ทว่าจิ่วหรงไม่มีจิตใจชื่นชมสิ่งเหล่านี้ พูดให้ถูกก็คือ สิ่งเหล่านี้เขาดูมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจึงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
ในห้องวางศพมีโลงหินอยู่สองโลง ที่นี่คือห้องวางศพหลักของสุสานจิ่นอีโหว โลงหนึ่งเป็นของจิ่นอีโหว ส่วนอีกโลงเป็นของฉ่ายเวย สตรีที่จิ่นอีโหวรักมากที่สุดในตอนนั้น
จิ่วหรงพยุงซูจิ่นซีนั่งลงข้างโลงหิน หญิงสาวใบหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย จิ่วหรงค่อยๆ รวบนางเข้าสู่อ้อมแขนและลูบไหล่ซูจิ่นซีเบาๆ พยายามให้ความอบอุ่นแก่นาง
“ซีเอ๋อร์ ทนอีกหน่อย ไม่นาน ไม่นานเจ้าก็จะไม่หนาวแล้ว”
แม้บางครั้งจิตใต้สำนึกซูจิ่นซีจะตกอยู่ในภวังค์ บางครั้งก็มีสติ ทว่ายามที่นางมีสติ นางมักจะรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
“จิ่วหรง ท่าน… ท่านจะทำอันใด? ท่านอย่าทำเรื่องโง่ๆ ”
จิ่วหรงนิ่งเงียบ เขาก้มศีรษะไปจุมพิตหน้าผากของซูจิ่นซีแผ่วเบา
หากชาตินี้ ชาติหน้า ชาติภพหน้าต่อๆ ไปยังไร้วาสนาได้พบกันอีก เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ยังสามารถทำเรื่องโง่ๆ เพื่อนางได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นเดินมาที่ข้างโลงหินของฉ่ายเวย ค่อยๆ เปิดฝาโลงขึ้น ในโลงหินเป็นโลงหยกหนึ่งโลง จิ่วหรงเปิดโลงหยกออก
ฉ่ายเวยเมื่อหนึ่งพันปีก่อน ใบหน้างดงามพริ้งเพรา ผิวพรรณนุ่มนวลชุ่มชื้น ริมฝีปากสีแดงสด มองแล้วดูเหมือนกำลังหลับใหลอยู่
แม้ใบหน้านี้จะดูคล้ายซูจิ่นซีมาก ทว่าจิ่วหรงไม่มีจิตใจจะเมียงมองแต่อย่างใด
เขาอุ้มซูจิ่นซีไปข้างโลงศพ เมื่อมองใบหน้าซูจิ่นซี แววตาทั้งสองข้างของจิ่วหรงเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ทว่าเรื่องนี้เขาวางแผนมาเป็นเวลาหนึ่งพันปีแล้ว เขาไม่มีทางทำให้ล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้ายอย่างแน่นอน
จากนั้นเขาก็นำวิญญาณอีกดวงที่แยกออกมาจากร่างของรัชทายาทหมิงเต๋อเมื่อสามร้อยปีก่อน รวมทั้งกระบี่เสวียนหยวนของเยี่ยโยวเหยา ซึ่งกระบี่เสวียนหยวนบรรจุวิญญาณดวงแรกของซูจิ่นซี ดังนั้นเมื่อตอนออกมาจากห้องศิลา จิ่วหรงได้แย่งกระบี่เสวียนหยวนจากเยี่ยโยวเหยามาด้วย
เมื่อจิ่วหรงกำลังจะลงมือในขั้นตอนต่อไป จู่ๆ ซูจิ่นซีก็จับมือจิ่วหรงแน่น “จิ่วหรง อย่า… ท่าน… ท่านจะทำอันใดกันแน่? ”
จิ่วหรงมองซูจิ่นซีด้วยสายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
หากย้อนเวลากลับไปเมื่อหนึ่งพันปีก่อนได้อีกครั้ง เขาจะพูดความจริงกับซีเอ๋อร์ได้หรือไม่? เขาจะบอกเรื่องทั้งหมดนี้ให้นางฟังเองกับปากได้หรือไม่?
คำถามนี้จิ่วหรงครุ่นคิดมาเป็นเวลานานมาก คิดมานานนับพันปี ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ตอบตัวเองว่า ไม่ได้!
หากย้อนเวลากลับไป พวกเขายังอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะว่าคนเผ่าเม้ยถูกลิขิตไว้แล้วว่าไม่อาจมีความรักกับคนอื่นนอกจากคนเผ่าเม้ยด้วยกัน มันถูกลิขิตไว้ว่า… ฉ่ายเวยจะปรากฏตัวขึ้น และลิขิตให้นางเข้าใจเขาผิด
พลาดไปแล้วก็น่าเสียดาย ทว่ามันผ่านไปแล้ว จิ่วหรงรักและทะนุถนอมอยู่เสมอเช่นกัน
ซูจิ่นซีกุมมือจิ่วหรงแน่น นางแทบจะใช้แรงทั้งหมดที่มีจ้องไปยังดวงตาของจิ่วหรงและพยายามหยุดเขา
ทว่าท้ายที่สุด จิ่วหรงยังคงยื่นนิ้วออกไปกดที่จุดหลับของซูจิ่นซี
เขาไม่อยากให้ซูจิ่นซีเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ไม่อยากทิ้งเงามืดอันโหดร้ายไว้ในความคิดของซูจิ่นซี เขาคิดว่า ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น นางจะสามารถใช้ชีวิตที่เหลือได้อย่างมีความสุข
ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของซูจิ่นซีก็ปิดสนิท นางหลับไปแล้ว จิ่วหรงกลัวว่าศีรษะของซูจิ่นซีจะกระแทกกับพื้นหินจึงใช้แขนรองใต้ร่างของซูจิ่นซีไว้ และวางศีรษะของนางลงบนพื้นอย่างแผ่วเบา
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน สองมือค่อยๆ ควบแน่นพลังภายในอันทรงพลังออกมา…