สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1057 แดนกลับชาติมาเกิด
ในดินแดนโลกปรภพ
จิ่วหรงอุ้มซูจิ่นซีเดินทีละก้าวอยู่ในหมู่มวลดอกปี่อั้นสีแดงเลือด
สีแดงเลือดเต็มท้องฟ้า สวยหยาดเยิ้มแสบตา แสงแห่งรุ่งอรุณและตะวันยอแสงเหนือท้องฟ้าพาดผ่านจวนโยวอ๋องอย่างงดงามจนลืมตาไม่ขึ้น
ชุดสีขาวสะอาดสะอ้านปัดผ่านกลีบดอกสีแดงเพลิงทีละคืบราวกับดอกท้อสีแดงท่ามกลางหิมะขาวที่สวยที่สุดในฤดูหนาว ผีเสื้อหลากสีบินวนไม่หยุด ผีเสื้อชนิดนี้มีแสงสีฟ้าอ่อนซึ่งพบได้ในดินแดนโลกปรภพเท่านั้น มีเพียงไม่กี่ตัวที่พอตกลงบนกลีบดอกไม้ก็กลายเป็นผุยผงทันที
เส้นทางนี้ จิ่วหรงครุ่นคิดมาเป็นเวลานานมากแล้ว
เขาจำได้ว่าในปีนั้น ที่วิหารเทพซีหวังหมู่บนเขาคุนหลุน เขาได้รับบัญชาให้คุ้มครองสระบัวหวังหมู่ ดอกบัวงดงามเบ่งบานเต็มสระ ทว่ามีเพียงดอกเดียวที่สะดุดตาเขา
เขาจำได้ว่าในปีนั้น นางถูกลดขั้นให้เป็นคนเผ่าเม้ยเพื่อคุ้มครองจิ่นอีโหว เขาหาทางลงจากเขาเพียงเพื่ออยู่เป็นเพื่อนนาง
เขาจำได้ว่าในปีนั้น ดวงจันทร์บนหอดูดาวบนหุบเขาเทียนอีงดงามเป็นพิเศษ ทว่าเมื่อมองย้อนไป ใบหน้าแย้มยิ้มของนางนั้นงดงามยิ่งกว่า
เขาจำได้ว่าในปีนั้น ดอกท้อหลังหุบเขาเทียนอีผลิบานงดงามอย่างมาก เงาร่างอรชรของสตรีในอ้อมแขนเดินไปมาใต้ต้นท้อ กลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดในหุบเขาเทียนอี ต่อมาเขาได้ร่ายมนตร์ให้ดอกท้อเหล่านั้นผลิบานตลอดทั้งปีไม่เหี่ยวเฉา
เขาจำได้ว่าในปีนั้น นางถูกปีศาจลอบวางแผนให้สูญเสียพลังวิญญาณทั้งหมด เขาพานางไปที่แดนรกร้างเพื่อหาสมุนไพรช่วยชีวิต ซึ่งสมุนไพรได้รับการคุ้มครองโดยอสูรเก้าหัวโบราณในเทือกเขาปีศาจ เขาต่อสู้กับอสูรเก้าหัวเป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืนจนฝีมือและพลังวิญญาณเกือบสลายหายไป…
เขาจำได้ว่าในปีนั้น เขาสอนนางดีดพิณในตำหนักเซียนหลิน นางนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าและเขาอยู่ด้านหลังนาง เพราะนางร่างเล็ก ศีรษะจึงอยู่ต่ำกว่าปลายจมูกของเขา กลิ่นเส้นผมหอมอ่อนๆ กระตุ้นประสาทรับกลิ่นของเขา กว่าหนึ่งชั่วยามต่อมา แม้เขาจะพูดไปมากมายตั้งแต่วิธีใช้นิ้ว ข้อพึงระวัง และจังหวะดนตรี เป็นต้น ทว่าเขาจำไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำว่าตนเองพูดอันใดไปบ้าง
เขาจำได้ว่าในปีนั้น นางตั้งตารอและถามอย่างไม่ลดละ หากไม่มีฉ่ายเวย ในใจเขาจะมีนางเพียงคนเดียวได้หรือไม่ พวกเขาจะอยู่ในหุบเขาเทียนอีตลอดชีวิตที่เหลือ และไม่มีวันจากไปได้หรือไม่?
เมื่อเห็นดวงตาแสนเศร้าสร้อยของนางในตอนนั้น หัวใจของเขาแทบแตกสลาย อยากบอกกับนางเหลือเกินว่า ได้! แม้ไม่มีฉ่ายเวยก็ย่อมได้!
ทว่าในความเป็นจริง ฉ่ายเวยก็คือนาง
เป็นเพียงเครื่องมือที่เขาหลอมออกมาเพื่อขจัดคำสาปเผ่าเม้ยบนร่างนาง
ทว่าเขาไม่กล้า เขาไม่รู้ว่าการดูแลปกป้องซึ่งกันและกันของคนสองคนที่รักกัน กับคำสาปของเผ่าเม้ย อันใดมาก่อนกัน เขากลัวว่าเมื่อบอกนางไป เขาจะอยากอยู่กับนาง ผลสรุป… ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า
เขาจำได้ว่าในวันนั้น นางเป็นคนเปิดคำสาปเผ่าเม้ยด้วยตนเอง สังเวยวิญญาณหยาง… ร่างของนางค่อยๆ สลายหายไปต่อหน้าต่อตาเขาทีละคืบ… ทีละคืบ… ทีละคืบ ในตอนนั้นเขาแทบไม่รู้สึกถึงการหายใจและการเต้นของหัวใจตนเอง แทบอยากจะตามนางไปด้วย
วันนั้นนางบอกว่า จิ่วหรง ชาติหน้าข้าจะยังรอท่านอย่างแน่นอน ต้องหาท่านให้เจอ ชาติหน้าซีเอ๋อร์ยังอยากเป็นลูกศิษย์ของท่าน ชาติหน้าไม่ต้องมีฉ่ายเวยได้หรือไม่? ชาติหน้าพวกเราไม่ต้องไปจากหุบเขาเทียนอีได้หรือไม่?
หารู้ไม่ว่าเวลาผ่านไปกี่ภพชาติ คำสาบานในช่วงเวลาแห่งความเป็นตายและการจากลาในปีนั้นยังคงแจ่มชัด นางยังคงเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ไม่มีฉ่ายเวย เขาไม่เคยออกจากหุบเขาเทียนอีตลอดทั้งปี ทว่าข้างกายไม่มีนางอยู่เป็นเพื่อนแล้ว… ในช่วงเวลาที่เหลือช่างอ้างว้างราวกับความตาย
มีบางครั้งที่เขาสงสัยว่า คนที่ถูกสาปเป็นนางหรือว่าเขากันแน่
เขาครุ่นคิดมากมาย… น่าเสียดายที่เวลาช่างยาวนานเหลือเกิน หลากหลายเรื่องราวได้ตกตะกอนเมื่อเวลาผ่านไปหลายหมื่นหลายพันปี สับสนเลือนราง ไม่ว่าจะไขว่คว้าอย่างไรก็คว้าไม่อยู่
อย่างไรก็ตาม แม้คว้าไม่อยู่ เขาก็อยากเดินต่อไปเช่นนี้และหวนคิดต่อไปอยู่เสมอ น่าเสียดาย แม้หนทางนี้จะยาวไกล ทว่าเวลาก็เดินมาถึงจุดสิ้นสุด
ในที่สุดทั้งสองก็เดินมาถึงริมแม่น้ำลืมเลือน
สะพานไน่เหอทอดยาวไกลสุดสายตา ยิ่งมองไม่เห็นต้นแม่น้ำ มีเพียงผิวน้ำและพื้นที่รอบด้านที่สะท้อนเป็นภาพพร่ามัวสีเทาแสนอ้างว้าง
วิญญาณนับหมื่นพันลอยอยู่เหนือสะพานไน่เหอไม่หยุด ตั้งใจฟังอย่างละเอียดราวกับว่าได้ยินเสียงเพรียกจากขุมนรก
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีตื่นขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ดวงตางดงามกลมโตและสดใสราวกับลูกองุ่นเงยมองจิ่วหรง
จิ่วหรงก้มศีรษะลงโดยไม่ได้ตั้งใจและสบตาคู่นั้น
“จิ่วหรง… ” ซูจิ่นซีเรียกเสียงเบา
มุมปากจิ่วหรงยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “ตื่นแล้วหรือ? ”
“อืม! ” ซูจิ่นซีตอบแผ่วเบา พลางมองสภาพแวดล้อมรอบด้านที่ไม่คุ้นเคย “นี่ท่านจะพาข้าไปที่ใด? ”
จิ่วหรงไม่ตอบ ทว่าวางซูจิ่นซีที่ริมแม่น้ำลืมเลือนอย่างระมัดระวัง
ซูจิ่นซีมองทิวทัศน์โดยรอบ แววตาที่เหม่อมองไปไกลมีความประหลาดใจเล็กน้อย “งดงามยิ่งนัก! ” นอกจากนี้ที่นี่ยังดูคุ้นเคยราวกับว่าเคยมาแล้ว
“งดงามมากจริงๆ ” จิ่วหรงพูด “ดอกพวกนี้เรียกว่าดอกปี่อั้น”
ดอกปี่อั้น…
ซูจิ่นซีก้มมองกำไลบนข้อมือตนเอง
“ใช่ เหมือนกันทุกประการกับกลีบดอกไม้บนกำไลของเจ้า”
เมื่อผนึกรวมดวงวิญญาณทั้งสามเข้าด้วยกันกับดวงจิตเทพจิ่วโยว เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีมีพลังเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
“ตามตำนานเล่าว่า ดอกปี่อั้นเติบโตที่เขตแดนปรภพที่เชื่อมต่อระหว่างหยินและหยางเท่านั้น เหตุใดข้าถึงอยู่ที่นี่? จิ่วหรง ข้าตายไปแล้วใช่หรือไม่? ”
จิ่วหรงมองซูจิ่นซีด้วยความอ่อนโยน “ไม่ มีข้าอยู่ จะไม่ยอมให้เจ้าตาย”
ใช่! อาคมกำไลปี่อั้นเปิดความถี่ค่อนข้างสูง ซูจิ่นซีสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงหัวใจเต้นและเสียงลมหายใจของตนเองได้อย่างชัดเจน นางจึงใช้ความคิดลดความถี่ลงเล็กน้อย
“เหตุใดพวกเราถึงอยู่ที่นี่? เยี่ยโยวเหยา อู๋จุน ถังเสวี่ย และพี่ชายของข้าเล่า? ”
“พวกเขาไม่ได้มากับพวกเรา และยังมีเรื่องอื่นอีก”
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามเจาะจงว่าเรื่องอันใด นางพยักหน้าอย่างเข้าใจและมองทะเลดอกปี่อั้นอย่างเงียบงัน
งดงามเกินไปจริงๆ สีแดงโลหิตไม่มีที่สิ้นสุดถูกลมในโลกปรภพพัดปลิวพลิ้วไหวโอนเอน ละอองเกสรสีทองเล็กๆ ลอยขึ้นมาจากกลีบดอกเป็นครั้งคราว เปลี่ยนเป็นห้าสีสันแล้วค่อยๆ ร่วงโรย ทั้งยังมีเหล่าผีเสื้อเริงระบำอยู่ท่ามกลางพวกมัน
ในโลกมนุษย์ ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นดอกไม้ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
ขณะที่กำลังมองดู ทันใดนั้นเสียงเครื่องสายอันไพเราะก็ดังขึ้นข้างหู
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับมาเห็นเรือลำเล็กจอดอยู่ริมแม่น้ำไม่ไกล ไม่รู้ว่าจิ่วหรงขึ้นเรือตั้งแต่เมื่อไร เขานำพิณเฟิ่งหวงออกมานั่งบนหัวเรือแล้วเล่นมันอย่างสง่างาม
รูปลักษณ์งดงามหาผู้ใดเปรียบ เสื้อผ้าพลิ้วไหว เส้นผมปลิวสยาย คู่กับสีฟ้าของผิวน้ำอันไร้จุดสิ้นสุด ขับให้ดูโดดเด่น ให้ความรู้สึกงดงามราวกับบทกวีและภาพวาด ราวกับความฝันและภาพมายา ขณะที่ซูจิ่นซีมองอยู่นั้น ภาพที่นางดีดพิณร่วมกับจิ่วหรงบนหอดูดาวของตำหนักเซียนหลินในหุบเขาเทียนอีเมื่อหลายพันปีก่อนพลันแวบเข้ามาในหัว
จิ่วหรงไม่ได้เงยศีรษะ เขาจดจ่ออยู่กับสายพิณ ซูจิ่นซีย่างเท้าก้าวขึ้นเรือไปอย่างเชื่องช้า
เมื่อนางยืนได้อย่างมั่นคงบนเรือ เรือเล็กไร้คนพายก็ค่อยๆ ลอยไปกลางแม่น้ำ