สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1058 แดนกลับชาติมาเกิดและนางสาบานต่อเขา
เสียงพิณดูเหมือนจะมีผลให้จิตใจสงบลง ซูจิ่นซีมักรู้สึกว่าในใจตนเองไม่เคยสงบนิ่งเท่าเวลานี้มาก่อน นางนั่งลงด้านข้าง ฟังเสียงพิณอันไพเราะของจิ่วหรง
ทักษะการดีดพิณของจิ่วหรงเหมือนจะพัฒนาขึ้นไม่น้อย ทั้งยังได้เรียนรู้บทเพลงใหม่ ซึ่งบทเพลงนี้ซูจิ่นซีไม่เคยได้ยินมาก่อน
ขณะที่ฟัง ภาพเมื่อหลายพันปีก่อนได้ปรากฏขึ้นในหัวของนางมากขึ้นเรื่อยๆ และชัดเจนมากเป็นพิเศษ
บางเรื่องราวที่ซูจิ่นซีลืมมันไปแล้ว วันนี้กลับจำได้อีกครั้ง ทำให้นางจำตระหนักได้ในทันทีว่าร่างตนเองอยู่ในช่วงเวลาใด ซึ่งดูเหมือนว่าจะย้อนกลับไปเมื่อปีนั้น
ในช่วงปีนั้น ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดก็คือตอนที่นางและจิ่วหรงอยู่ด้วยกันที่หุบเขาเทียนอี หลายปีในช่วงเวลาที่เงียบสงบ ช่วงเวลาที่งดงาม ทุกสิ่งสวยงามราวกับสรวงสวรรค์
บางครั้งเวลาเบื่อและเหงา จิ่วหรงจะพานางไปท่องโลก ร่อนเร่พเนจร ผ่านไปหลายปีจึงกลับหุบเขาเทียนอี
เทศกาลฉงหยางเป็นวันเกิดร่วมกันของพวกเขา ครั้งหนึ่งที่ท่องเที่ยวรอบโลกได้ผ่านแคว้นเล็กๆ แห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงเหนือพอดี พวกเขาปล่อยโคมลอย เล่นทายคำใบ้บนโคมไฟ ดื่มน้ำเก๊กฮวย ปักต้นจูอวี๋…
พวกเขาไปดินแดนทางตอนเหนือสุดด้วยกัน หิมะโปรยปรายทั่วผืนดิน หิมะที่นั่นงดงามยิ่งกว่าที่เขาคุนหลุนเสียอีก
พวกเขายังไปสถานที่ทางตอนใต้สุดของแคว้นไหวเจียง ในตอนนี้ ที่นั่นมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งถูกซ่อนไว้หลายปี คนในหมู่บ้านป่วยเป็นโรคระบาด ทั้งหมู่บ้านเกือบจะพังพินาศย่อยยับ พวกเขาตรวจและรักษาโรคให้ชาวบ้านด้วยกัน
แน่นอนว่าในเขตแดนสามอาณาจักร พวกเขาไปมาหลายที่แล้ว และได้พบกับเรื่องราวน่าตื่นเต้นมากมาย
ทั้งยังไปแดนรกร้างซึ่งได้พบกับสัตว์เทพกิเลนและจิ้งจอกเก้าสีที่นั่น
และยังไปมาแล้วหลายที่… อย่างไรก็ตาม แม้จะท่องโลกแห่งแสงสีมากเพียงใด ในใจของนางกลับเทียบไม่ได้กับหุบเขาเทียนอี
ทว่าช่วงเวลาที่เจ็บปวดระทมทุกข์ที่สุด ดูเหมือนจะทิ้งไว้ที่หุบเขาเทียนอีเช่นกัน
ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าจิ่วหรงที่อ่อนโยนกับนางมากในตอนนั้นได้เปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไร ดูเหมือนจะเป็นตอนที่ฉ่ายเวยปรากฏตัว ทว่าดูเหมือนจะเร็วกว่าที่ฉ่ายเวยปรากฏตัว ตั้งแต่… หลังจากที่เขาไปดินแดนต้องห้ามของเผ่าเม้ย…
สรุปแล้วความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกลับแย่ลงอย่างกะทันหัน ท่าทีอ่อนโยนที่เขามีต่อนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในช่วงนั้นนางรู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองอาศัยอยู่ในห้วงความมืดมนที่ไม่สิ้นสุด ราวกับแม่น้ำลืมเลือนที่อยู่ตรงหน้านี้ มองไม่เห็นต้นน้ำ มองไม่เห็นจุดจบ ยิ่งไปกว่านั้นในชีวิตไม่มีร่องรอยความอบอุ่น มันหนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งและหิมะแดนหนาว
ทว่าสิ่งที่หนาวเหน็บที่สุดคือช่วงที่ร่างกายและวิญญาณถูกคำสาปฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ ล่องลอยจากพื้นดินในชั่วพริบตาไม่รู้ว่าไปแห่งหนใด
นางจำได้ว่าก่อนสังเวยจิตวิญญาณหยางในปีนั้น นางถามคำถามเหล่านั้นกับจิ่วหรงนับครั้งไม่ถ้วน
“จิ่วหรง ในใจท่าน… เคยมีข้าบ้างหรือไม่? ท่านเคยรักข้าบ้างหรือไม่? ”
“หากมีชาติหน้า ซีเอ๋อร์ยังเป็นลูกศิษย์ท่านได้หรือไม่? ชาติหน้าพวกเราจะอาศัยอยู่ในหุบเขาเทียนอีและไม่สนใจเรื่องทางโลกเหล่านี้ได้หรือไม่? ”
“จิ่วหรง ชาติหน้าข้าจะยังรอท่านแน่นอน จะต้องหาท่านให้พบ ชาติหน้าซีเอ๋อร์จะยังเป็นลูกศิษย์ของท่าน”
“ชาติหน้าไม่ต้องมีฉ่ายเวยได้หรือไม่? ”
“ชาติหน้าพวกเราไม่ต้องไปจากหุบเขาเทียนอีได้หรือไม่? ”
“ดอกไห่ถังที่ตำหนักเซียนหลินหลังภูเขาบานแล้วใช่หรือไม่? น่าเสียดายที่ซีเอ๋อร์ดูไม่ได้อีกแล้ว”
ชาติหน้า
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็เงยหน้ามองไปยังจิ่วหรง
จิ่วหรงกำลังดีดพิณด้วยท่าทางสง่างามราวกับเทพเจ้าอยู่บนหัวเรือ เส้นผมพลิ้วไหวไปตามแรงลม ชุดสีขาวราวหิมะบริสุทธิ์หมดจดไร้ที่ติราวกับสายธารหลั่งไหลมาจากบนฟ้า ด้านหลังเป็นน้ำสีเขียวมรกตและท้องฟ้าสีมืดไม่มีที่สิ้นสุด สะท้อนกันอย่างกลมกลืน อีกฝั่งเป็นทะเลดอกปี่อั้นสีแดงเลือดไกลสุดสายตา ภาพทั้งหมดงดงามจนไม่อาจลืมตาขึ้น
“จิ่วหรง ชาติหน้าข้าจะยังรอท่านอย่างแน่นอน! ” คำสาบานที่ชัดเจนในตอนนั้นแวบเข้ามาในหัวของซูจิ่นซีอีกครั้ง เป็นคำ… ที่นางสาบานต่อเขา
คำสาบานยังอยู่ คนก็ยังอยู่ จู่ๆ ในใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
“จิ่วหรง… ”
“…”
“ท่านอาจารย์… ”
“…”
ซูจิ่นซีเรียกอยู่สองครั้ง จิ่วหรงยังคงไม่ตอบ ดังนั้นนางจึงลุกขึ้นแล้วเยื้องย่างเข้าไปหาจิ่วหรง
นางพูดว่า “ในตอนนั้นตกลงกันแล้ว พวกเราจะต้องพบกันในชาติหน้า ข้าจะยังเป็นลูกศิษย์ของท่าน ไม่มีฉ่ายเวย ไม่สนเรื่องทางโลก วันนี้ข้ายังคงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของท่าน ไม่มีฉ่ายเวยอีกแล้ว ทว่าเหตุใด… เหตุใดพวกเรายังอยู่ด้วยกันไม่ได้… เหตุใด…? ”
ซูจิ่นซีพูดได้ครึ่งประโยคก็พลันหยุดชะงัก จู่ๆ ฝีเท้าก็หยุดลง สายตาที่ถามอย่างเร่งเร้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกและตกตะลึง…
เพราะนางเห็นชุดสีขาวหิมะที่ไม่เคยเปื้อนฝุ่นเลยของจิ่วหรงกลับเลอะไปด้วยคราบเลือด และกำลังแผ่ขยายเป็นวงกว้างด้วยความเร็วที่มองเห็นได้
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
ซูจิ่นซีมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็วด้วยใบหน้างุนงง และพบว่าเรือได้ลอยมาถึงกลางแม่น้ำลืมเลือนแล้ว บนผิวน้ำมีวิญญาณหยินนับไม่ถ้วนลอยอยู่ โดยเฉพาะด้านบนเรือลำเล็กของพวกเขาที่มีมากเป็นพิเศษ
วิญญาณหยินเหล่านั้นได้กลิ่นนางและจิ่วหรงจึงพุ่งใส่พวกนางอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเข้าใกล้รอบกายนางกลับหมุนกลับไปราวกับสัมผัสสิ่งต้องห้ามบางอย่าง
วิญญาณหยินไม่มีทางเข้าใกล้ซูจิ่นซีได้ ทว่ากลับเข้าใกล้จิ่วหรงได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นหลังจากพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่อยู่รอบกายซูจิ่นซี จึงไปรวมตัวข้างจิ่วหรงเพื่อเรียกร้องบางอย่างจากเขาอย่างบ้าคลั่ง ทว่าจิ่วหรงราวกับสูญเสียการรับรู้ เขายังคงดีดพิณอย่างสง่างามและผ่อนคลายโดยไม่หลบเลี่ยงสักนิด
จู่ๆ ซูจิ่นซีก็นึกบางอย่างได้ แววตาไม่อยากจะเชื่อของนางปรากฏความลึกซึ้ง
ตำนานกล่าวขานว่า ในสามอาณาจักรเจ็ดดินแดน วิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถเข้ามายังโลกปรภพได้ และยิ่งไม่อาจเข้าใกล้แม่น้ำลืมเลือน มิฉะนั้นจะถูกวิญญาณหยินของปรภพฉีกเป็นชิ้นๆ จนไม่อาจหวนคืนชีพได้อีก และในปรภพมีเพียงวิญญาณหยินเหนือแม่น้ำลืมเลือนที่มีจำนวนมากที่สุดและพลังหยินรุนแรงที่สุด
เหตุใดวิญญาณหยินเหล่านี้ถึงไม่กล้าเข้าใกล้นาง ทว่าเข้าใกล้จิ่วหรงได้อย่างง่ายดาย?
จิ่วหรงคิดจะทำอันใดกันแน่?
จู่ๆ ปีที่น่าหวาดกลัวก็ผุดขึ้นมาในจิตใจ ซูจิ่นซีไม่มีเวลาให้คิดมากนัก นางรีบพุ่งไปหาจิ่วหรง
“จิ่วหรง… ”
ทว่านางไม่สามารถเข้าใกล้จิ่วหรงได้
รอบกายจิ่วหรงเหมือนมีม่านพลังที่มองไม่เห็นกั้นไว้ ทันทีที่นางเข้าใกล้ก็เด้งกลับมา
เพราะเหตุใด?
เหตุใดนางเข้าใกล้เขาไม่ได้?
เหตุใดวิญญาณหยินเหล่านั้นจึงผ่านชั้นม่านพลังนั้นไปทำร้ายเขาได้อย่างง่ายดาย
“จิ่วหรง ท่านคิดจะทำอันใด? ”
“จิ่วหรง ท่านพูดสิ! ท่านออกมา เหตุใดท่านจึงขังตนเองอยู่ด้านใน? ”
“จิ่วหรง ท่านพูดสิ ท่านตอบข้า จิ่วหรง… จิ่วหรง… ”
“จิ่วหรง ท่านตอบข้า เหตุใดท่านถึงพาข้ามาที่นี่? ท่านคิดจะทำอันใด? ”
จิ่วหรงค่อยๆ หันศีรษะกลับมายิ้มบางให้ซูจิ่นซี…
รอยยิ้มนั้นสดใสราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นในเดือนสาม ราวกับดอกบัวหิมะบนภูเขาน้ำแข็ง เหมือนกับหลายพันปีก่อนตอนเขาเดินมาหานางที่แปลงกายเป็นมนุษย์ที่เขาคุนหลุนครั้งแรก
ซูจิ่นซีพลันแข็งทื่อราวกับรูปปั้น หยุดนิ่งอยู่กับที่โดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ