สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน - เล่มที่ 36 ตอนที่ 1059 แดนกลับชาติมาเกิด ผ่านความอมตะของท่าน
ในที่สุดนางจึงเข้าใจว่า เหตุใดตอนจิ่วหรงเป็นอวิ๋นจิ่นถึงได้ยิ้มเช่นนี้ให้นางทุกครั้งที่เจอ
หลังจากเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ทุบม่านพลังอย่างบ้าคลั่งแล้วร้องตะโกนเสียงดัง
“จิ่วหรง ท่านออกมา ท่านออกมา… ”
“จิ่วหรง ไม่ได้ ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้ ท่านจะทำอันใด? ”
“จิ่วหรง… จิ่วหรง… จิ่วหรง… ออกมา… ท่านออกมา… จิ่วหรง… ”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ซูจิ่นซีน้ำตาไหลอาบแก้ม นางตะโกนเสียงดังจนทรุดตัวลง ใช้มือทุบม่านพลังที่กั้นระหว่างนางกับจิ่วหรงอย่างบ้าคลั่ง ร้องเรียกด้วยความเจ็บปวด ร้องไห้เหมือนเด็ก…
ทว่ามันไม่มีประโยชน์อันใด
จิ่วหรงยังคงดีดพิณโดยไม่ได้หันกลับมามองนางอีก
วิญญาณหยินจำนวนมากเข้าใกล้จิ่วหรงมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนมีควันสีเทาโอบล้อมจิ่วหรงไว้ตรงกลางอย่างหนาแน่นและดูดกลืนพลังบางอย่างจากร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง ชุดสีขาวราวหิมะของจิ่วหรงย้อมไปด้วยสีเลือด ท้ายที่สุด ทั่วทั้งชุดสีขาวหิมะก็กลายเป็นสีแดงโลหิต
ในที่สุดจิ่วหรงก็ยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป เสียงพิณขาดๆ หายๆ กลายเป็นเสียงแกร๊งที่ดังกังวานและหยุดลงอย่างกะทันหัน ร่างของจิ่วหรงล้มลงบนพิณเฟิ่งหวงอย่างแรง ตามด้วยม่านพลังตรงหน้าซูจิ่นซีที่สลายหายไป
ซูจิ่นซีที่กำลังทุบม่านพลังอย่างบ้าคลั่งพุ่งขึ้นไปกลางอากาศและล้มลงบนพื้น ก่อนจะรีบลุกขึ้นและตรงไปหาจิ่วหรง นางกอดร่างของจิ่วหรงที่เต็มไปด้วยเลือดไว้
บนร่างและบนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรูเลือด ซูจิ่นซีตกใจจนสั่นเทาไปทั้งร่าง นางยื่นมือออกไปหมายจะเกลี่ยผมที่ปรกแก้มจิ่วหรงออก ทว่ามือกลับสั่นเทาจนไม่กล้าสัมผัส
“อย่า… อย่า… ” จิ่วหรงกลัวว่ารูปลักษณ์ของตนเองจะทำให้ซูจิ่นซีหวาดกลัวจึงคว้ามือซูจิ่นซีไว้
“เหตุใด… ”
ซูจิ่นซีอดทนไม่ไหวอีกต่อไปเช่นกัน นางร้องไห้คร่ำครวญจวนจะขาดใจ เสียงร่ำไห้ดังก้องเหนือท้องฟ้าโลกปรภพทั้งมวล
“เหตุใดถึงเกิดเรื่องเช่นนี้? ท่านคิดจะทำอันใดกัน? เหตุใด? พันปีที่แล้วเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านทำสิ่งใดไม่เคยบอกข้า? เหตุใด …จิ่วหรง เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดถึงกลายเป็นเช่นนี้?… ”
“ซีเอ๋อร์… ” จิ่วหรงยิ้มอบอุ่นให้ซูจิ่นซีแล้วยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้นางแผ่วเบา “อย่าร้อง! ”
ซูจิ่นซีคว้ามือจิ่วหรง นางสั่นไปทั้งตัวเหมือนลูกกวางที่กำลังหวาดกลัว “บอกข้าที เกิดอันใดขึ้น? ท่านทำอันใดกับตนเอง? ”
จิ่วหรงยังคงยิ้มให้ซูจิ่นซี “ปีนั้นคนเผ่าเม้ยได้ฝ่าฝืนข้อห้ามใหญ่หลวงของคุนหลุน องค์เทพซีหวังหมู่จึงร่ายคำสาป หลังเทพซีหวังหมู่กลับคืนสู่ดินแดนหุ้นตุ้น ไม่มีผู้ใดในโลกแก้คำสาปนี้ได้อีกเลย มีเพียงแม่น้ำลืมเลือนที่จะชำระล้างมันได้ ซีเอ๋อร์ เจ้าวางใจ ตอนนี้ในร่างของเจ้ามีดวงจิตเทพจิ่วโยวคุ้มครอง และมีหญ้าเสินเซียนเสริมความแกร่งให้ดวงวิญญาณ วิญญาณหยินในแม่น้ำลืมเลือนทำร้ายเจ้าไม่ได้ ลำดับถัดไป อาจารย์ใช้จิตวิญญาณปกป้องเจ้า คราวนี้สามารถคลายคำสาปเผ่าเม้ยบนร่างเจ้าได้แน่นอน ทำให้เจ้าหลุดพ้นจากการที่ไม่สามารถอยู่กับคนนอกเผ่าเม้ยเป็นพันๆ ปีได้ ในอนาคต… ในอนาคต เจ้าสามารถอยู่กับเยี่ยโยวเหยาทุกภพทุกชาติโดยไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับคำสาปตลอดไป… ”
“ข้าไม่เอา… ” ซูจิ่นซีปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาครุ่นคิด นางร่ำไห้และพูดว่า “จิ่วหรง ข้าไม่ต้องการ ข้าไม่ต้องการแก้คำสาปเผ่าเม้ยอันใด ข้าต้องการ ข้าเพียงต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ ทำให้ทั้งหมดนี้ดีขึ้นได้หรือไม่? ให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนเมื่อก่อน พวกเราออกจากที่นี่ ท่านทำได้หรือไม่? จิ่วหรง เร็วเข้า ทำให้ทั้งหมดนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ข้าไม่ต้องการให้ท่านตาย ข้าเพียงต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่ เพียงต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่… จิ่วหรง… ข้าเพียงต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่… ”
ซูจิ่นซีจับมือจิ่วหรงและเขย่าไม่หยุด ร้องไห้เหมือนเด็กอย่างสิ้นหวัง
ทว่าทั้งหมดมันสายเกินไปแล้ว ร่างกายของจิ่วหรงเบาลงเรื่อยๆ ช่วงขาค่อยๆ เริ่มสลายหายไป
ซูจิ่นซีกลัวจนฟันกระทบกันไม่หยุดและร้องตะโกนอย่างต่อเนื่อง “ไม่เอา จิ่วหรง… ไม่เอา ไม่เอา… จิ่วหรง… จิ่วหรง… จิ่วหรง… ”
ทว่านางทำอันใดไม่ได้แล้ว นางทำได้เพียงมองร่างจิ่วหรงสลายหายไปต่อหน้าต่อหน้าทีละนิด และในที่สุดก็กลายเป็นควันสีเขียวลอยอยู่เหนือแม่น้ำลืมเลือน ซูจิ่นซีร้องเรียกตามกลุ่มควันสีเขียวนั้นอย่างบ้าคลั่ง ทว่ามันกลับลอยขึ้นกลางอากาศและตกลงสู่แม่น้ำลืมเลือน
วิญญาณหยินในแม่น้ำลืมเลือนจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งมาหานาง ทว่าพวกมันทำได้เพียงวนเวียนอยู่รอบตัวนาง ไม่กล้าเข้ามาใกล้
ควันสีเขียวหมุนวนกลางอากาศเป็นวงกลมหนึ่งรอบ จากนั้นก็ตกลงมาหมุนรอบกายซูจิ่นซี ปกป้องนางไว้อย่างแน่นหนา
แม้วิญญาณหยินเหนือแม่น้ำลืมเลือนจะไม่กล้าเข้าใกล้ซูจิ่นซี ทว่าวิญญาณหยินจำนวนมากในแม่น้ำลืมเลือนล้วนเป็นวิญญาณพลังหยินรุนแรงที่แช่อยู่ในน้ำมาเป็นเวลาหลายหมื่นหลายพันปี ดวงจิตเทพจิ่วโยวปกป้องซูจิ่นซีได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่าจิ่วหรงเป็นกังวลว่าจะปกป้องนางไว้ได้ไม่นาน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายตนเองถูกวิญญาณแห่งปรภพฉีกกระชาก จึงใช้พลังเพื่อล่อวิญญาณมาล่วงหน้าและเร่งความตายของตนเอง จากนั้นใช้จิตวิญญาณตนเองปกป้องซูจิ่นซีเพื่อเพิ่มม่านพลังให้นาง
จิ่วหรง…
ไม่คิดว่าเขาจะวางแผน แม้กระทั่งความตายและจิตวิญญาณตนเอง ทั้งหมดนี้เขาล้วนทำเพื่อนาง
สิ่งเหล่านี้ ซูจิ่นซีจะไม่เข้าใจได้อย่างไร?
ทว่านางไม่ต้องการ ไม่ต้องการให้จิ่วหรงทำเช่นนี้ นางอยากทำแทนจิ่วหรงใจแทบขาด หวังให้เป็นตนเองที่ถูกวิญญาณหยินเหล่านั้นฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ
“กรี๊ด… กรี๊ด… กรี๊ด… ”
ซูจิ่นซียืนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่กลางแม่น้ำลืมเลือน แทบอยากจะเผาทั้งโลกปรภพให้วอดวาย
……
ภายในสุสานหลักของจิ่นอีโหว เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นๆ รวมถึงคนของแคว้นไหวเจียงยังคงต่อสู้กัน เดิมทีแพ้ชนะควรตัดสินได้นานแล้ว ทว่าคนของแคว้นไหวเจียงกลับไร้ยางอายเป็นอย่างมาก มักใช้สิ่งของเผ่าเม้ยเป็นโล่กำบัง จนทำให้เยี่ยโยวเหยาและคนอื่นมีข้อจำกัดในยามลงมือ
“ไม่ต้องสู้แล้ว! ” จู่ๆ ถังเสวี่ยก็ตะโกนเสียงดัง เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่มีปฏิกิริยาจึงเสริมอีกประโยคว่า “พวกท่านไม่ต้องสู้แล้ว กำแพงนี้มีบางอย่างผิดปกติ”
เสียงอาวุธกระทบดังสับสนพลันหยุดลงอย่างกะทันหัน ทุกคนต่างหยุดชะงักและมองไปยังทิศทางที่ถังเสวี่ยชี้ไป ซึ่งเป็นกำแพงทางทิศเหนือของห้องศิลาวางศพ ทว่าพวกเขามองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
ทุกคนมองไปที่ถังเสวี่ยด้วยความสงสัย
ใบหน้าถังเสวี่ยดูใสซื่อ “ข้าไม่ได้โกหกพวกท่าน กำแพงนี้ผิดปกติจริงๆ เมื่อครู่เรืองแสงสีแดง ทว่าตอนนี้ไม่มีการตอบสนองอันใดเลยได้อย่างไร? ”
ถังเสวี่ยพูดพลางเดินไปที่กำแพงและตรวจสอบอย่างละเอียด
“มองผิดกระมัง! อยู่ดีๆ กำแพงจะเรืองแสงได้อย่างไร? ” เห็นได้ชัดว่าอู๋จุนไม่เชื่อถังเสวี่ย
“นางไม่ได้ดูผิด! ”
เยี่ยโยวเหยากล่าวอย่างหนักแน่นมาก จากนั้นจึงเดินไปยังกำแพง แม้ตอนต่อสู้เมื่อครู่จะเห็นไม่ชัดเจนนัก ทว่าเขาเห็นแสงสีแดงรางๆ
เยี่ยโยวเหยามีสีหน้าจริงจัง แน่นอนว่าไม่ได้ล้อเล่น ดังนั้นทุกคนจึงเก็บอาวุธในมือและเดินไปล้อมยังกำแพงนั้น
กำแพงนี้มีความลับใดกันแน่?
มันเรืองแสงสีแดงได้อย่างไร?